ผ่านมาเกือบเดือนได้แล้วมั้ง
คิดถึงวันนั้นที่ยื่นมือเข้าหาก้อนเนื้อ ผมถอนหายใจขณะยืนอยู่หน้าหมู่บ้านร้างแห่งเดิมนี้
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
การทดลองกับก้อนเนื้อ ไปได้สวยจนกระทั่งครึ่งทาง
เพราะไม่ใช่ร่างกายตัวเอง เลยถ่ายพลังเวทไปๆมาๆซะเยอะแยะ, ไม่ใช่ยังงี้ ไม่ใช่ยังงั้น ยังโง้นรึเปล่า ยังงู้นมากกว่ามั้ง สนุกกับการทดลองไปเรื่อยๆ, สนุกจริงๆนะเออ ได้เข้าใกล้แก่นแท้ของเวทมนต์ และรู้สึกได้ว่าพลังของตัวเองเติบโตขึ้นอย่างชัดแจ้ง
ทุกอย่างดีงาม, ผมควบคุมเวทได้ถนัดขึ้น, ทำเวทได้หนาแน่นขึ้น แม่นยำขึ้น และรุนแรงขึ้น
จนกระทั่งสามารถระงับการเบี่ยงเบนพลังเวทได้อย่างเด็ดขาด…… แล้วจู่ๆ ก็เจอเด็กสาวเอลฟ์ผมทองอยู่ตรงหน้า
สนใจกับการควบคุมพลังเวทมากเกินไป ทำให้ไม่รู้ตัวว่าก้อนเนื้อเริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นเอลฟ์หัวทองจนกระทั่งเสร็จสิ้นกระบวนการ
ยอดเลยแฮะ คืนสภาพจากก่อนเนื้อได้ด้วย
ผมจึงตัดสินใจที่จะส่งเธอกลับบ้านแบบ “เธอเป็นอิสระแล้ว กลับบ้านไปซะเถอะ!” หรือ “ขอให้มีความสุขกับอนาคต!”
แต่เธอกลับตอบแบบ “กลับบ้านไม่ได้แล้วค่ะ” แล้วก็ “ต้องชดใช้บุญคุณครั้งนี้”
ปัดโธ่ ผมไม่ได้ช่วยซะหน่อย ก็แค่บังเอิญหรอก
เรื่องชักยุ่งยาก, ผมเลยกะจะหนีดีกว่า, แต่สุดท้าย ก็ยินยอมให้เธอมาเป็นลูกน้องรายแรกของพลังในเงามืด
ท่าทางไม่น่าจะทรยศกันซะด้วยสิ แถมดูออกฉลาด มีออร่าใช้การได้เปล่งออกมาอย่างเกินความจำเป็น
แม้ว่าเธอจะอายุ 10 ขวบเหมือนผม, แต่ข่าวลือที่ว่าด้านจิตใจของเอลฟ์เติบโตอย่างรวดเร็ว ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องโกหก
“ถ้างั้น จากวันนี้ไป, ชื่อของเธอ คืออัลฟ่า” アルファ
α, อัลฟ่า, จะแบบไหนก็เอาเหอะ
“รับทราบค่ะ”
เธอพยักหน้า
ผมบลอนด์, ตาสีฟ้า, ผิวขาวเนียน, ความสวยอันโดดเด่น เป็นพื้นฐานแห่งเอลฟ์เลย
“ส่วนหน้าที่ของเธอ……”
ผมหยุดคิดนิดนึง, ส่วนนี้เป็นจุดสำคัญมาก
หน้าที่เธอคือสนับสนุนผมที่เป็นพลังในเงามืด อันนี้แน่อยู่แล้ว
แต่ผมต้องระบุให้ชัด ว่าพลังในเงามืดมันหมายถึงอะไรกันแน่ และเป้าหมายจริงๆของผมคืออะไร หรือก็คือ ต้องถ่ายทอดให้เข้าใจถึงความสำคัญของการสวมบทบาทเป็นพลังในเงามืดของผม
การตั้งพล็อตเรื่องนั้นสำคัญยิ่ง หากเหตุผลของการต่อสู้คือ “โมโหที่เล่นปาจิงโกะแพ้” คงงี่เง่าน่าดู
ในแง่นี้ ผมเตรียมการพร้อมอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนมาสู่โลกนี้ และหลังจากมาถึงโลกนี้ ผมก็ใฝ่ฝันถึงเนื้อเรื่องอันสุดจะเหมาะแก่การเป็นพลังในเงามืด
รวมหลายพัน หลายหมื่นรูปแบบที่เคยคิดไว้ก่อนแล้ว ได้ออกมาเป็นเนื้อเรื่องสุดจะอลังการในพริบตา
“จากเงามืด, เราจะขัดขวางและหยุดยั้ง การคืนชีพของปีศาจเดียโบลอส” 魔人ディアボロス
“ปีศาจเดียโบลอส……?”
อัลฟ่าเอียงหัวสงสัย
“คงรู้ถึงประวัติศาสตร์แล้วสินะ ว่าปีศาจเดียโบลอสเคยเกือบทำลายล้างทั้งโลก ทว่า มีสามผู้กล้า – หนึ่งเอลฟ์ หนึ่งมนุษย์สัตว์ และหนึ่งมนุษย์ – ยืนหยัดต่อสู้ จนพิชิตเดียโบลอส และช่วยเหลือโลกเอาไว้”
“เคยได้ยินมาก่อน แต่มันเป็นแค่เทพนิยายนี่คะ?”
“ไม่หรอก, มันเกิดขึ้นจริง แต่ความเป็นจริงนั้น ซับซ้อนยิ่งกว่าเทพนิยายมากนัก……”
ว่าแล้ว, ผมก็ยิ้มแห้งๆ
คนระดับผม สามารถรวมเอาตำนานต่างๆของโลกนี้ เข้ากับจินตนาการ เพื่อสร้างฉากต่อสู้ในเงามืดอันน่าเชื่อถือสุดๆได้อยู่แล้ว
“ก่อนที่มันจะตาย เดียโบลอสร่ายคำสาปใส่สามผู้กล้า, สิ่งนั้นเรียกว่า คำสาปเดียโบลอส” ディアボロスの呪い
“คำสาปเดียโบลอส? ไม่เคยได้ยินมาก่อนนะคะ……”
“คำสาปเดียโบลอสมีอยู่จริง, แต่เป็นที่รู้จักกันในนามอื่น – ‘ปีศาจสิงสู่’ ไงล่ะ, นั่นคือโรคที่กัดกินร่างกายของเธอ”
“เอ๋, เรื่องนั้น……”
อัลฟ่าตาเบิกกว้างตกใจ
“ 'สายเลือดวีรชน' 英雄の子孫 ผู้สืบเชื้อสายจากผู้กล้าที่พิชิตเดียโบลอส จะต้องประสบกับคำสาปไปตลอดกาล, ทว่า ในอดีต คำสาปเดียโบลอสสามารถรักษาได้ เหมือนแบบเธอนี่ไง” '
ข้อเท็จจริงที่ว่าผิวของอัลฟ่าตอนนี้ เป็นสีขาวไร้รอยด่างพร้อย – เสมือนไม่เคยมีอาการปีศาจสิงสู่มาก่อน – ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเพื่อเกื้อหนุนสิ่งที่ผมพูด
จริงๆคือเรื่องตอแหลทั้งเพ
“ปีศาจสิงสู่คือเครื่องยืนยันว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายจากผู้กล้า, เลือดเนื้อเชื้อไขของผู้ช่วยเหลือโลกเอาไว้ จะได้รับความคุ้มครอง ความเคารพนับถือ ความขอบคุณ มันเคยเป็นเช่นนั้น”
“แต่บัดนี้ แทนที่จะเรียกว่าความขอบคุณ, เรากลับ……”
อัลฟ่าหน้าตาบิดเบี้ยว, ไม่อาจพูดต่อได้
“มีผู้บิดเบือนประวัติศาสตร์ ปิดบังความจริงที่ว่านั่นเป็นสัญลักษณ์ของผู้กล้า ซุกซ่อนวิธีรักษาให้หายจากคำสาป, ซ้ำร้าย ยังเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น ‘ปีศาจสิงสู่’ เพื่อให้กลายมาเป็นการถูกเกลียดชัง”
“ใครกัน?! ใครที่ทำเรื่องแบบนั้น?”
“พวกมันวางแผนคืนชีพปีศาจเดียโบลอส, เหล่าผู้ที่เกิดอาการคำสาปเดียโบลอสนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่พลังเวทสูงส่ง จากการได้รับสืบทอดสายเลือดผู้กล้า หรือก็คือ คนเหล่านั้น เป็นพลังรบอันสำคัญ ที่เป็นตัวขัดขวางเดียโบลอส”
“เพราะงั้นมันถึงเรียกชื่อเป็นปีศาจสิงสู่ เพื่อเป็นข้ออ้างกำจัดทิ้งสินะคะ? เลวทรามต่ำช้าเป็นที่สุด!”
“ที่เธอต้องถูกตีตราด้วยบาปปลอมๆว่าปีศาจสิงสู่, ต้องถูกไล่ออกจากบ้านและครอบครัวเช่นนี้....เกลียดชังมันรึเปล่า?”
“เกลียดแน่นอน, จะอภัยให้ได้ยังไงกัน”
“ลัทธิเดียโบลอส ディアボロス教団 นั่นคือศัตรูของเรา, พวกมันไม่เคยยืนอยู่เบื้องหน้า เช่นนี้ เราเองก็ต้องปฏิบัติการภายใต้เงามืด, เราจะซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลังเงา และไล่ล่าเงา”
“มีอิทธิพลขนาดนั้นโดยไม่ปรากฏต่อสาธารณะ…… หรือก็คือ ลัทธินี่ต้องมีสมาชิกที่อิทธิพลสูงส่งมาก และหลายคนก็ถูกหลอกใช้โดยไม่รู้ถึงตัวตนของมันสินะคะ”
ผมพยักหน้าหนักแน่น
“เป็นเส้นทางที่เปี่ยมด้วยขวากหนามและความยากลำบาก แต่ว่า เป็นสิ่งที่ต้องทำ, เธอพร้อมจะให้ความร่วมมือหรือไม่?”
“หากคุณต้องการเช่นนั้น, ฉันพร้อมจะมอบชีวิตนี้ให้, และนี่ ก็เป็นความต้องการของฉันเองด้วย”
อัลฟ่ามองผมด้วยดวงตามุ่งมั่นสีฟ้าอย่างไร้ซึ่งความหวั่นเกรง, เป็นสายตาซึ่งเปี่ยมด้วยปณิธานและความมุ่งมั่น
ผมกำหมัดเฮอยู่ในใจ
แจ่มเป็ด, เอลฟ์หลอกง่ายชิบ
แน่นอน, ลัทธิเดียโบลอสอะไรนี่ไม่มีจริงหรอก ต่อให้เธอค้นหาแค่ไหนก็หาไม่เจอ
นานๆที เราก็จะออกไปถล่มแก๊งค์โจรโดยอ้างว่าต้องสงสัยเป็นพวกลัทธิเดียโบลอสบ้างล่ะ, บ้างก็โดดเข้าไปขวางการต่อสู้ระหว่างพวกที่ดูเหมือนตัวเอก พลางพ่นประโยคเด็ด “โลกนี้ใกล้เข้าสู่ภาวะล่มสลายแล้ว!” หรือไม่ก็ “การคืนชีพของปีศาจใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!” ก่อนออกไปอย่างเด่นๆ
ไม่งั้นก็โผล่ไปในสนามรบอย่างเท่ๆ และว่า “พวกแกะน้อยโง่เขลาที่ไม่รู้ตัวว่าโดนหลอกใช้เอ๋ย……” ก่อนจัดการทุกคนซะ, โอวววว ทำนี่ทำนั่นได้เยอะแยะ! ความใฝ่ฝันกำลังแผ่ขยายได้อีก!
อ้อ จริงสิ, เรื่องสำคัญ คือชื่อองค์กรเรา……
“เราคืออุทยานเงา…… ผู้อยู่เบื้องหลังเงา และไล่ล่าเงา……” 我等はシャドウガーデン……陰に潜み、陰を狩る者
“อุทยานเงา ช่างเป็นชื่อที่ดียิ่งนัก”
นี่คือต้นกำเนิดของอุทยานเงา, และพร้อมๆกันนี้ ก็เกิดศัตรูตัวฉกาจของโลก อย่างลัทธิเดียโบลอสขึ้นมาด้วย
เป็นอีกก้าวหนึ่งของผม สู่การสวมบทเป็นพลังในเงามืด
“สำหรับตอนนี้, พัฒนาการควบคุมพลังเวทและวิชาดาบของเรากันก่อน, การต่อสู้ที่ยากลำบาก ผมจะรับไว้เอง แต่จะให้เธอมีบทบาทจัดการพวกสวะ ดังนั้นจงพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นจนเพียงพอจะสามารถทำเช่นนั้นได้เถอะ”
“เข้าใจค่ะ ศัตรูนั้นแข็งแกร่ง เราต้องเพิ่มระดับพลังของเรา”
“ใช่ๆ, แบบนั้นล่ะ”
“แล้วเราก็ต้องค้นหาสายเลือดวีรชนรายอื่น และให้ความคุ้มครอง”
“อืม, อันนั้นก็ ตามความเหมาะสม”
เล่นเป็นพลังในเงามืดด้วยคนจำนวนมาก ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นองค์กรลับมากขึ้น, แต่จริงๆเราไม่ได้ต้องการคนเยอะแยะหรอก พูดตามตรง แค่เราสองคนก็พอแล้ว
“สำหรับตอนนี้ สนใจเรื่องแข็งแกร่งขึ้นกันก่อนเถอะ”
ว่างั้น, ผมเอาดาบไม้มาปัดการโจมตีของอัลฟ่า, เธอมีความก้าวหน้าอย่างมาก หลังจากฝึกฝนแค่เดือนเดียว
ตอนแรกยังเป็นมือใหม่แท้ๆ แต่มีพลังเวทมากพอ และมีเซนส์ดี, จึงน่าจะใช้การได้ดีอยู่
ผมคิดพลางสะบัดดาบไม้ภายใต้แสงจันทร์ต่อไป