คิดว่าผ่านมาได้10 ปีแล้ว
เวทมนต์สุดยอดเลย, ด้วยเวทมนต์ ก็สามารถเคลื่อนไหวได้เหนือกว่าขีดจำกัดมนุษย์อย่างง่ายดาย
ขยี้หิน? หวานหมู
วิ่งเร็วกว่าม้าสองเท่า? ของกล้วยๆ
โดดได้สูงกว่าบ้าน? แน่นอนสิ
แต่เกรงว่าแตโปดองจะยังเหนือกว่าแฮะ, แม้เวทมนต์จะทำให้ผมมีความต้านทานทางกายภาพมากขึ้นก็เถอะ แต่อาวุธของโลกเก่ามันรุนแรงยิ่งนัก
ความคิดว่า “โลกนี้ไม่มีแตโปดอง งั้นไม่ต้องสนเรื่องนั้นก็ได้นี่?”เคยแวบผ่านหัวหรอก, แต่พลังในเงามืดจะโอนอ่อนประนีประนอมเช่นนี้ได้ที่ไหนเล่า
ไม่มีทาง, ลดมาตรฐานลงไม่ได้
เพราะงั้น ผมจึงมุ่งมั่นสู่ร่างกายที่สามารถเอาชนะแตโปดองได้
เพื่อการนั้น, ผมใช้วันเวลาไปกับการทดลองและการฝึกฝน
ช่วงหลังมานี้ จึงเริ่มเห็นความเป็นไปได้ และกำลังทดลองอยู่
อ้อ, ครอบครัวที่ผมมาเกิดใหม่ เป็นบ้านชนชั้นสูง
เชื้อสายซึ่งผลิตอัศวินที่ต่อสู้พลางใช้เวทเสริมกำลังตนเอง – ที่เรียกว่านักดาบเวท
ผมถูกเลี้ยงด้วยความคาดหวังและเคารพอย่างสูงในฐานะผู้สืบทอดตระกูล…… ซะเมื่อไหร่, เปล่าหรอก ก็แค่ถูกปฏิบัติเหมือนกับนักดาบฝึกหัดอื่นๆนั่นล่ะ
พลังในเงามืดนั้น จะเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงต่อผู้คนและสถานที่ที่เลือกสรรแล้วเท่านั้น เมื่อถึงเวลา……
ดังนั้นผมจึงออมมือ, การฝึกของนักดาบฝึกหัดก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียวหรอก, ผมได้เรียนวิธีการต่อสู้ด้วยเวทของโลกนี้ แล้วก็เป็นโอกาสในการทบทวนรูปแบบการต่อสู้ของตัวเองด้วย
พูดตรงๆไม่อ้อมค้อม, เทคนิคต่อสู้ที่เรียนรู้มาในชีวิตก่อน ผ่านการขัดเกลาและสมเหตุสมผลกว่ากันเยอะ
แค่เห็นการต่อสู้ของยุคนี้ก็รู้แล้ว
ตามปกติ เทคนิคที่ไร้ประโยชน์และการเคลื่อนไหวที่ไร้ความจำเป็นจะต้องถูกตัดออก, วิชาสายต่างๆ ล้วนแต่เอาเทคนิคที่ดีเลิศของสายอื่นๆ เข้าไปประยุกต์, เป็นการหลอมรวมที่ทำให้สำนักวิชาต่างๆเดินหน้าสู่ความสมบูรณ์แบบ
แน่นอน วิทยายุทธสมัยนี้มีขอบเขตที่เรียกกันว่า ‘กฎ’ ผูกมัดอยู่, แต่ก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าเทคนิคต่างๆ ถูกนำมาขัดเกลาเพื่อต้านทานซึ่งกันและกัน มุ่งหน้าสู่ที่สุดของที่สุด
แต่สำหรับโลกนี้, หากเทียบกันแล้ว
ประการแรก ไม่มีทางที่เทคนิคจะถ่ายทอดข้ามประเทศได้
และไม่มีทางที่เทคนิคจะแบ่งปันกันข้ามสำนักวิชา
เทคนิควิชานั้น ศิษย์ในสำนักเท่านั้นถึงจะเรียนได้ และห้ามแพร่ออกนอกสำนัก, แต่ถึงแม้จะเผยแพร่เทคนิคออกไป ก็ไม่มีสื่อช่วยกระจายข่าว หรือก็คือ ไม่มีการผสมผสานของวิชา
หากจะให้สรุปในคำเดียว ก็คือเป็นเทคนิคที่ “หยาบกระด้าง”
แต่การต่อสู้ของโลกนี้ก็มีจุดแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับโลกเดิมของผม, ใช่แล้ว เพราะเวทมนต์
ด้วยเวทมนต์, ทำให้พลังพื้นฐานของผู้คนโลกนี้ มีระดับต่างกับโลกเดิมเยอะ
อย่างเช่น แรงกาย, คนสามารถยกตัวคนอื่นได้ด้วยมือเดียว เพียงแค่นี้ เทคนิคการล็อคปล้ำก็กลายเป็นของไร้ค่า
ถึงจะขึ้นขี่ตัวคนอื่น มันก็โดดลอยขึ้นฟ้าได้ด้วยการเบ่งกล้ามเนื้อท้อง
ต่อให้ล็อคตัวเอาไว้ แค่ขาข้างเดียวก็ถีบให้ตัวลอยได้, เพราะงั้น เทคนิคการกดล็อคจึงไร้ประโยชน์
คนจะสู้แบบคน ก๊อบลินก็สู้แบบก๊อบลิน ก็แค่นั้นล่ะ
ยิ่งกว่านั้น ความเร็วกับระยะการก้าวเข้าหาเป้าก็ต่างกัน, ระยะจู่โจมจึงต่างกัน ซึ่งอันนี้คือเรื่องสำคัญสุดเลย
หัวใจของวิชาต่อสู้ คือการแย่งชิงระยะจู่โจม, ความห่าง, มุม, ตำแหน่ง, นี่คือแก่นแท้ของการต่อสู้
ใช้เวลามากพอสมควร กว่าผมจะกำหนดระยะจู่โจมของตัวเองได้
คือแบบ ระยะจู่โจมของคนโลกนี้ มันไกลชะมัดเลย, ถึงจะเริ่มสู้โดยยืนห่างกัน 5เมตร แต่ก้าวเท้ากันได้ไว ความเร็วก็เยอะ ซึ่งก็พอเข้าใจอยู่
ตอนแรก, ผมก็ประทับใจว่า “โอ้ นี่เป็นรูปแบบต่อสู้เฉพาะของโลกนี้” หรอก…… แต่เปล่าเลย, กลายเป็นว่าเพราะโลกนี้ไม่มีพัฒนาการด้านเทคนิคป้องกันเลยต่างหาก
โลกเราเองก็มีคนจำพวกนี้เหมือนกัน – คนที่ป้องกันได้ห่วยแตก เลยทิ้งระยะให้ห่างจากศัตรูให้มากเท่าที่จะทำได้
การโจมตีของศัตรูมันน่ากลัวนี่เนอะ ใช่มะ? อยู่ในจุดห่างๆที่การโจมตีมาไม่ถึงมันปลอดภัยกว่าเยอะรึเปล่า? เพราะงั้น การต่อสู้ของโลกนี้ เลยเป็นแค่พุ่งเข้าไปโจมตี แล้วก็พุ่งถอยหนีออกมา ซ้ำๆกันไป
ตีแล้วหนีเหรอ? โทษทีฟ่ะ, ไอ้การไปๆมาๆแบบนี้ ไม่นับว่าเป็นการตีแล้วหนี
สำหรับผม, 5เมตร หรือ100เมตร ล้วนแล้วแต่ไร้ค่า, เพราะการโจมตีที่ถูกต้องไม่อาจปล่อยจากระยะเช่นว่าได้
จะ 6เมตร, 7เมตร, 10เมตร ก็ไม่ต่างกัน, ไม่มีประโยชน์ เพราะงั้นเดินเข้าไปชิดระยะใกล้ๆซะเลยดีกว่ามั้ย?
แต่พอถึงระยะนึง, จะมีความหมายในความแตกต่างของ 1มิลลิเมตร, นี่ล่ะระยะจู่โจม
การโจมตีจะโดนหรือไม่, ศัตรูจะตอบสนองทันไหม, ด้วยมุมและปัจจัยอื่นๆ อย่างความได้เปรียบเสียเปรียบจากการขยับครึ่งก้าวหรือเอียงองศา
ไม่ใช่แค่วิ่งเข้าไป 5เมตรเพื่อโจมตี แล้วโดดถอยมา 6เมตรยังงี้
ความคิดที่มีอยู่ก่อนเรื่องต่างโลกและเวทมนต์ ทำให้สับสนไปชั่วระยะนึง, แต่หลังๆมานี้ ผมสามารถชี้ชัดถึงระยะจู่โจมของตนได้แล้ว
การฝึกฝนวันๆของผมก็เป็นแบบนี้ล่ะ
มีแค่ผม พี่สาว แล้วก็พ่อ – พ่อสอนผมกับพี่สาว, แล้วผมกับพี่สาวก็ซ้อมกัน
พี่สาวอายุมากกว่าผม 2 ปี และดูมีพรสวรรค์อยู่, ท่าทางจะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูล
ในโลกที่ใช้เวทมนต์ได้ แม้แต่ผู้หญิง ก็สามารถแข็งแกร่งเว่อร์วังอลังการได้, จึงไม่แปลก ที่ผู้หญิงจะเป็นหัวหน้าตระกูล
ด้วยเหตุนี้, ผมจึงโดนพี่สาวอัดหมอบซะทุกวัน, ก็แหม จะเอาชนะได้ไงเล่า? เพื่อที่จะเป็นพลังในเงามืด ในยามสามัญก็ต้องทำตัวเป็นลูกกระจ๊อก A สิ
เพราะงั้น ทุกวันของผมจึงเป็น “ฟุเอ๋ย์ย์ย์, พี่สาวแข็งแกร่งจัง~” พลางโดนอัดหมอบ
◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇
ชีวิตประจำวันเช่นนี้, ช่วงกลางวัน ต้องเรียนสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเป็นชนชั้นสูง รวมถึงสิ่งต่างๆที่ต้องทำ ในฐานะตัวประกอบ A, ดังนั้นจึงไม่มีเวลาว่างมากนัก
ด้วยเหตุนี้ การฝึกฝนส่วนตัวของผมจึงต้องทำในยามค่ำคืน, หลังจากทุกคนนอนหลับแล้ว
แน่นอน ว่าหมายถึงการลดเวลาหลับของผม, แต่ด้วยการผสานระหว่างผลของการทำสมาธิและการฟื้นฟูด้วยพลังเวท ทำให้เกิดรูปแบบการนอนอย่างเฉพาะที่สั้นมากแต่ได้ผลเป็นยิ่งนัก
เอาล่ะ, วันนี้ก็พยายามฝึกฝนเช่นกัน
สำหรับวันนี้ เป็นเมนูฝึกพิเศษ หลังจากการวิ่งในป่าตามเคย
ช่วงหลังเนี่ย เหมือนจะมีพวกคนเถื่อนยึดครองพื้นที่หมู่บ้านร้างแถวนี้
หลังจากการสืบสวน พบว่าเป็นกลุ่มโจรที่มีขนาดใหญ่พอตัว
เหมาะแก่การสังหารเพื่อลองวิชา
ผมก็มีฆ่าๆพวกโจรบ้างหรอก แต่นานๆจะเจอกลุ่มโจรเต็มพิกัดเช่นนี้ซักที ประมาณว่าปีละครั้งได้ เลยเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น
ไม่ได้มีคู่ซ้อมดีๆมาเป็นปีแล้ว แหม่ รักพวกอาชญากรชะมัด, อาา อยากให้ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกต่ำลงอีกจุงเบย
ตามเขตล้าหลังของโลกนี้, อาชญากรอาจถูกฆ่าทิ้งโดยไม่ต้องขึ้นศาล, หรือจะว่าชัดๆ เฉพาะแต่เมืองใหญ่ๆที่มีผู้พิพากษาประจำอยู่ เพราะฉะนั้นตามเขตล้าหลัง ถึงไม่จุกจิกเรื่องนี้มากนัก
เพราะงั้น ผมจะเป็นผู้พิพากษาพวกแกเอง อุหิหิหิ
วันนี้เป็นวันดี สำหรับการทดลองอาวุธใหม่ของผม – สไลม์บอดี้สูท スライムボディスーツ
ขออธิบายซักหน่อยว่ามันคืออะไร
โลกนี้มีเวทมนต์, และผู้คนของโลกนี้ ต่อสู้โดยการเอาเวทเสริมพลังตนเองและพลังของอาวุธ
แต่ว่า จะมีการสูญเสียของเวทมนต์ขึ้นเมื่อทำเช่นนั้น
ตัวอย่างเช่น ดาบเหล็กธรรมดาจะมีประสิทธิภาพแค่ 10% - หากถ่ายพลังเวทลงไป 100 หน่วย ก็จะส่งผลแค่ 10 หน่วย แปลว่าพลังเวท 90% สูญหายไปในกระบวนการถ่ายเถ
แม้แต่มิธริล ซึ่งเป็นโลหะสื่อนำสูง, ทำเป็นดาบที่ประสิทธิภาพถ่ายเทได้ 50% ก็นับเป็นของทรงคุณค่าแล้ว
สรุปคือ ไม่ว่าจะทำยังไง พลังที่สูญหายไปก็มีมาก
ผมเลยคำนึงถึงสไลม์, สไลม์เนี่ย เอ่อ ก็ตามรูปร่าง เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างและขยับไปมาโดยใช้แค่เวทได้
เมื่อศึกษาให้ลึกซึ้ง ก็พบว่ามีอัตราการถ่ายเทพลังเวทถึง 99%, หนำซ้ำ ยังมีสภาพเป็นของเหลว จึงสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้
ดังนั้นผมจึงล่าสไลม์ ทำลายคอร์มัน และทดลองกับเยลลี่สไลม์ที่เหลือทิ้งไว้
จำนวนคอร์สไลม์ที่ทำลายไปนับเป็นพันๆ จนกระทั่งแถบนี้เริ่มขาดแคลนสไลม์ จนผมต้องขยายขอบเขตสำรวจออกไปเลยล่ะ
เยลลี่สไลม์สามารถนำมาแปรรูปได้ง่าย, หลังจากการเสริมและการประสม ก็ทำบอดี้สูทเต็มชุดออกมาได้
ต่างจากเกราะตรงที่ไม่ก่อให้เกิดเสียงกระทบ, สวมใส่สบาย, และยังสนับสนุนการเคลื่อนไหวใดๆของผม แน่นอน ว่าเรื่องการป้องกันเองก็รับรองผลได้
ตอนนี้ ผมใส่บอดี้สูทสีดำสนิท ที่ทำจากเยลลี่สไลม์ผสมกับสารสีดำ
นี่ไม่ใช่การประดับตกแต่งอย่างไร้เหตุผลหรอกนะ แต่เป็นการทำให้สูทเหมาะแก่ตัวผม จนตัวดำๆเหมือนผู้ร้ายในมังงะนักสืบเลย
เรื่องการออกแบบไว้คิดหลังจากพร้อมจะเป็นพลังในเงามืดแล้วละกัน
◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇
มาถึงหมู่บ้านร้าง, แม้จะดึกปานนี้แล้ว แต่คบไฟยังจุดส่องสว่างซะทั่ว
ดูเหมือนพวกมันเพิ่งเสร็จงานจู่โจมขบวนสินค้า, และตอนนี้กำลังฉลองกันอยู่
อื้ม ผมโชคดีเลยนะเนี่ย, โจรมันไม่ใช่พวกวางแผนชีวิตล่วงหน้าอยู่แล้ว แม่งมีอะไรก็ใช้ๆจนหมดอย่างไม่อดออม เพราะงั้น เฉพาะแต่ตอนเพิ่งปล้นคนเนี่ยล่ะ ที่มีของมีค่าอยู่กับตัว
ของๆโจร ก็คือของๆผม, นี่คือวิธีเก็บหอมรอมริบเพื่อการเป็นพลังในเงามืดในอนาคต
ด้วยใจสู้เต็มที่ ผมเข้าถล่มงานเลี้ยงโดยไม่คิดจะซุ่มซ่อน เพราะไม่งั้นก็ไม่นับเป็นการฝึก
"เฮี้ยกฮ่า~! ส่งเงินและของมีค่ามาให้หมด!!”
ผมตะโกนกลางวง
“ไอ้จิ๋วนี่มันเป็นห่าอะไรวะ?”
ผม 10 ขวบแล้ว, จะเรียกว่า ‘ไอ้จิ๋ว’ ก็ไม่ค่อยถูกต้องนะ
“โอร่าา, บอกให้ส่งเงินมาไง!”
หลังเตะเจ้าคนหยาบคายที่มาด่าผมว่าไอ้จิ๋ว โจรอื่นก็เริ่มจับอาวุธ
“เห้ย, อย่าคิดว่าเป็นเด็กแล้วเราจะปราณีนะโว้ย……!”
“โอร่าา!”
หมอนั่นดันพูดประโยคโหลๆออกมาซะได้ ผมถึงตัดคอก่อนเลย
แน่นอน ว่าอาวุธผมเองก็ทำจากสไลม์ด้วย; เป็นอาวุธพิเศษที่เอาออกมาได้เสมอยามที่ต้องการ ยิ่งกว่านั้น ดาบสไลม์ยังมีความสะดวกหลายอย่าง
สะดวกอย่างที่ 1: ยืดได้
“โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่าาาา!”
ผมยืดดาบสไลม์และเหวี่ยงกว้างเพื่อกวาดโจรรอบๆทั้งหมด
ความยืดหยุ่นแบบโมจิ กับความคมแบบดาบนี้ เป็นครั้งแรกที่นำมาใช้ในการสู้จริง จึงหวั่นใจนิดๆ แต่ผลงานออกมาดีเลย
“โอร่า โอร่า โอร่า โอร่าาา…… หืมม์?”
หลังจากกำลังสนุกและฟันทุกอย่างแบบไม่เลี้ยง, ก็สังเกตขึ้นมาว่ารอบข้างเงียบไปหมด, อ้าว เหลืออยู่แค่คนเดียวเองเหรอ?
“ก-, แก, เป็นใครวะ……?”
“เห้อ, ช่วยไม่ได้ ไว้ทดลองอย่างที่ 2 กับแกแล้วกัน”
“หา-, พูดอะไรวะ……!?”
“ท่าทางนายจะเก่งกว่าโจรรายอื่นนิดนึง คงเป็นหัวหน้าสินะ? เสียใจด้วย ความเป็นไปได้ที่นายจะชนะคือศูนย์ แต่ถ้านายยอมเป็นคู่ฝึกให้ผม ก็จะอนุญาตให้มีชีวิตรอดต่อไปอีก 2 นาที, พยายามเข้านะ เข้าใจป่ะ?”
“ไอ้เด็กเวรเอ้ย, รู้มั้ยว่าข้าคือ……!”
“ไม่อยากรู้ ไม่ต้องพูดหรอก”
“ไอ้เหี้ยนี่!!!!!!”
บอสพุ่งใส่ผมด้วยความโมโห แล้วฟันมาแบบเห่ยๆ
ผม…… เลือกที่จะไม่หลบ
ดาบของบอส A ฟันเข้าที่อก แรงกระแทกทำให้ผมลงไปกลิ้งที่พื้น
“ฮะฮ่า, ดูถูกกันดีนัก! เจอข้าผู้ชำนาญวิชาสายบุชินเมืองหลวงเข้าไป…… หะ-, ห๊ะ?!” 王都ブシン流
“อืมม์, ไม่มีแม้แต่รอย”
ผมยืนขึ้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พึงพอใจกับกับพลังป้องกันของสูทเป็นอย่างมาก ท่าทางจะต้านการโจมตีในระดับบอส A ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“โอ้ว, วิชาสายบุชินเมืองหลวง? นั่นมันสำนักที่โด่งดังในเมืองหลวงช่วงนี้สินะ? เฮ้, แสดงอีกดิ!”
“เชี่ย, วอนหาเรื่องเองนะ!”
บอส A โจมตี
เอ่อ, อืม, อ้อ, ง่ายชะมัด, มันพยายามฟันผมอย่างเต็มที่ แต่ผมไม่ต้องจับดาบด้วยซ้ำ แค่การจัดตำแหน่งยืนและการก้าวเท้า ก็สามารถรับมือได้อย่างสบายบรื๊อ
แต่นี่คือสายบุชินรึ? ผมชอบนะ
ต่างกับวิชาทั่วไปของโลกนี้ เห็นได้ว่าวิชาสายนี้ไม่ผูกติดอยู่กับอุดมคติหรือวิถีประเพณี แต่ใช้การเข้าถึงคู่ต่อสู้อย่างมีเหตุผล
ผมรับรู้ได้แม้ว่าจะเป็นการเหวี่ยงดาบห่วยๆของบอส A, ไม่ว่าจะเป็นการเร่งความเร็วในพริบตา การกดดันศัตรูโดยการก้าวครึ่งก้าว และวิธีอื่นๆเพื่อกดดันศัตรู มันสอดคล้องกับวิถีผม
แต่ก็นะ, บอส A มันห่วยเกิน
พอการโจมตีของบอส A หมดลง, ผมก็ออกจากระยะจู่โจมของมันอย่างสบาย
“ด, ดาบข้า…… ทำไมแกไม่โดนฟันวะ!”
“แหม่, อ่อนแอกว่าพ่อผมอีก ถึงจะเก่งกว่าพี่สาวผมในตอนนี้ แต่อีกซักปี ก็คงโดนพี่สาวแซงแล้วล่ะมั้ง?”
“ไอ้เด็กเวรรรรรรรร!!!!”
หลังปัดดาบฟันมั่วๆของบอส A ผมก็เตะคางมัน เบาๆ แต่ได้ผล เพราะเป็นการเตะจากใต้เข่า
ซึ่ง……
“อุ, อ, ทำไม……?”
บอส A ทรุดลงไปคุกเข่า กดคางตัวเอง, เลือดไหลย้อยผ่านนิ้วมาเป็นรอยเปื้อนบนพื้น
ก็เรื่องง่ายๆ; มีปลายดาบเหมือนที่เจาะน้ำแจ็งที่นิ้วเท้าผม
เป็นความสะดวกอย่างที่ 2: สามารถยืดดาบได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ
วิธีที่ผมคิดจะใช้ คือเตะขาศัตรูพลางยืดดาบออกจากนิ้วเท้า
ยากที่จะป้องกันการโจมตีซึ่งเล็งขา, รับดาบศัตรูไว้ด้วยดาบตัวเอง แล้วเตะขามัน เป็นวิธีพื้นๆแต่ได้ผล
“คงไม่มีประโยชน์ที่จะลองต่อแล้วล่ะ”
“ด-, เดี๋ยว!”
“ทนได้ไม่ถึง 2 นาทีเลยนะนาย”
ผมเตะขึ้นโดยมีดาบที่ปลายนิ้วเท้า, เสียบจากใต้คางบอส A ขึ้นไป, ตายเพราะถูกเสียบ
เตะศพบอส A ทิ้ง แล้วผมก็ค้นแคมป์โจรเพื่อทำการสะสมทรัพย์
“ไม่รู้จักพวกรับซื้อของโจรที่จะรับศิลปวัตถุนี่ไว้…… เอ่อ, อาหารก็ไม่ต้องการ…… อยู่ไหนว้า, เงินทองกับอัญมณีค่าน่ะ~”
มีเกวียนหลายคัน และมีศพพ่อค้าหลายศพ
“ช่วยพวกนายแก้แค้นแล้ว, ของๆพวกนายจะนำไปใช้เพื่อทำความดี เพราะงั้นหลับให้สงบเถอะนะ”
ผมรวบรวมของที่พอใช้การได้ และสวดส่งให้ผู้ตาย
ถ้าเปลี่ยนเป็นเงินให้หมด ก็คงซัก 5 ล้านเซนี่ ゼニー , อ้อ 1 เซนี่มีค่าเหมือน 1 เยน, ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกนำไปใช้เป็นทุนรอนสำหรับกิจกรรมในเงามืดของผมต่อไป
นี่ถ้าทั้งโลกวุ่นวายจนโจรเต็มบ้านเมือง ก็คงดีไม่น้อย, เอาแบบในเกมเลย ที่เดินตามถนนไม่กี่ก้าวก็เจอโจรแล้ว
"ชาติหน้าก็จงขยันๆ ระดมพลให้แพร่กระจายเยอะๆซะเถอะนะ”
ผมบอกกับบอส A ที่เงียบไปแล้ว…… ก่อนสังเกตเห็นบางอย่าง
“กรงเหรอ……?”
ค่อนข้างใหญ่และทนทานซะด้วย
“ทาสรึ? ขายไม่ได้อ่ะ ขอผ่าน~”
แต่บางที, แค่บางทีน่ะ, อาจมีอะไรดีๆอยู่ข้างใน เพราะงั้น ปลดผ้าที่คลุมอยู่ ขอดูเผื่อไว้ก่อน
“นี่…… คาดไม่ถึงเลยแฮะ”
ข้างใน, เอ่อ, จะว่าไงดี…… เป็นก้อนเนื้อเน่าๆ? แทบจะมองไม่เห็นเป็นรูปทรงมนุษย์ และไม่อาจแยกแยะเพศหรือระบุอายุอะไรได้เลย
แต่ว่านะ, ยังมีชีวิตอยู่ บางที อาจจะมีสติอยู่ด้วยซ้ำ, พอมองเข้าไปในกรง ก้อนเนื้อก็บิดๆ
เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน, นี่เรียกว่าถูก 'ปีศาจสิงสู่' 悪魔憑き , และโบสถ์จะรับหน้าที่กำจัดสัตว์ประหลาดนี่
แรกเริ่มเดิมที ก็เคยเป็นมนุษย์ธรรมดาเนี่ยล่ะ แต่วันนึง ร่างกายเริ่มเน่าเปื่อย หากปล่อยทิ้งไว้ ก็ตายอยู่ดี
ทางโบสถ์รับซื้อไปเพื่อทำการกำจัด ภายใต้คำว่าชะล้าง, แต่ไอ้การ 'ชะล้าง' 浄化 ที่ว่าเนี่ย มันก็อารมณ์เหมือนฆ่าผู้ป่วยนั่นล่ะ
แต่ทางโบสถ์ยืนยันว่าทำเพื่อ “ปกป้อง” ประชาชนจาก “ปีศาจ”, แหม่ สมกับเป็นยุโรปยุคกลาง
ถ้าเอาก้อนเนื้อนี่ไปขายให้โบสถ์ ก็จะได้ราคามากกว่าทุกอย่างที่หาได้วันนี้ซะอีก, แต่ก็นะ เอาไปขายไม่ได้ เลยไม่มีความหมาย
ทำให้มันหลับอย่างสงบเถอะ
ผมยืดดาบสไลม์ผ่านลูกกรงเข้าไป…… แต่จู่ๆก็นึกขึ้นได้
มีพลังเวทจำนวนมากอยู่ภายในก้อนเนื้อ, ถึงแม้ว่าผมจะฝึกฝนเวทมาตั้งแต่เป็นทารก แต่ก็ยังเทียบไม่ติดเลย
ช่างเป็นพลังเวทที่มากมายอะไรเยี่ยงนี้ หนำซ้ำ……
“คลื่นแบบนี้…… พลังเวทเบี่ยงเบน……?” 魔力暴走
เป็นไปได้ว่าที่กลายเป็นก้อนเนื้ออย่างงี้ เพราะอาการพลังเวทเบี่ยงเบนรึเปล่า?
เมื่อก่อน ผมก็เคยมีอาการพลังเวทเบี่ยงเบนเช่นกัน
ถ้าหากตอนนั้นไม่อาจควบคุมพลังเวทไว้ได้ ก็จะกลายเป็นแบบนี้รึไง?
พลังเวทมีผลต่อร่างเนื้ออย่างชัดแจ้ง, ทำให้วันนึง ผมนึกถึงความเป็นไปได้ของการฝึกฝนให้ชินกับพลังเวท โดยอาศัยการเบี่ยงเบนของพลังเวท, แบบนั้นจะทำให้ควบคุมเวทได้ง่ายขึ้นรึเปล่าหว่า? แต่การจงใจทำให้พลังเวทเบี่ยงเบน มันอันตรายเกินไป ท้ายที่สุดเลยล้มเลิกความคิด
แต่ถ้าก้อนเนื้อนี่คือผลจากพลังเวทที่เบี่ยงเบน, และผมสามารถทำการทดลองกับก้อนเนื้อนี้ได้…… ผมก็จะเข้าใกล้การเป็นพลังในเงามืดขึ้นอีกขั้นนึง โดยไร้ความเสี่ยงต่อตัวเอง
“เนื้อนี่, ใช้ได้อยู่……”
ผมยื่นมือเข้าหาก้อนเนื้อ แล้วเริ่มถ่ายพลังเวท