ตอนที่ 61 ลัทธิเทพปีศาจ
「รุยเอส บัลเซ่ ได้กลับมาแล้วค่ะ อาจารย์」
「เอ่อคือ.........รุยเอส? ทำไมต้องถ่อมารายงานถึงโรงแรมนี่ด้วยล่ะ?」
「ไม่ได้ค่ะ ในฐานะอาจารย์ของฉันยังไงก็ต้องมารายงานตัวก่อนฝ่าบาท............」
「ลำดับมันแปลกๆอยู่นะ」
ชั้นใช้เวลาช่วงหลายวันนี้ไปเดทกับพวกซาเรียแล้วมาเช้านี้ตอนที่กำลังกินข้าวกับพวกซาเรียอยู่
รุยเอสที่ยังคงท่าทีเหมือนเดิมก็มาพูดกับชั้นตามที่ว่ามา
ส่วนพวกซาเรียกลับห้องกันไปแล้ว
「คือว่านะ? ตัวตนอาจารย์สำหรับรุยเอสนี่มันยังไงกัน?」
「เป็นตัวตนสูงสุดอันดับหนึ่งไม่มีสองค่ะ」
「แรงอ่ะ!?」
ตัวตนที่มีศักดิ์สูงกว่าพระราชานี่มันอะไรกัน!? พระเจ้าเหรอไง!?
「อาจารย์ไงคะ」
「มาอ่านใจกันอีก!?」
ทำไมถึงมีคนอ่านใจชั้นได้มากมายขนาดนี้
「ช่างเถอะ กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะ」
「ขอบพระคุณมากค่ะ ศึกในครั้งนี้ ฉันได้ต่อสู้โดยคำนึงถึงสิ่งที่อาจารย์สอน
จนได้บรรลุเป็น≪ผู้เหนือล้ำ≫เหมือนเช่นท่านบานาบัสแล้วค่ะ」
「แหมมีแถมเรื่องชวนเหวอมาด้วยนะเนี่ย!」
ดูท่ารุยเอสก็ก้าวข้ามผ่านLv500.............ที่เป็นสูงสุดของมนุษย์เหมือนอย่างคุณบาน่าแล้วแฮะ
รอบตัวชั้นนี่มีแต่สัตว์ประหลาดทั้งนั้นเลย ถึงสัตว์ประหลาดอันดับหนึ่งจะเป็นชั้นก็เถอะ?
「ยังไงก็ตามแต่เพราะได้อาจารย์ช่วยพักอยู่ที่เทลเวลแห่งนี้
ฉันจึงสามารถตั้งสมาธิจัดการปราบพวกมอนเตอร์ได้」
「งั้นเหรอ...........เอาเถอะ ถ้าอย่างชั้นมีประโยชน์ก็ดีแล้วล่ะ」
「พูดอะไรกันคะ............อ้ะ จะว่าไปมอนเตอร์ที่บุกมาเมืองหลวงแห่งนี้
อาจารย์เป็นคนจัดการทั้งหมดสินะคะ ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ」
「อ้าว!? จะไม่สงสัยถามอะไรสักหน่อยเหรอ!?」
「แล้วไม่ใช่เหรอคะ?」
「..........ก็ใช่อ่ะนะ」
ถึงไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับอยู่ดี
「เอาล่ะถ้างั้นฉันไปรายงานการกลับมากับฝ่าบาทก่อนนะคะ」
「ถึงลำดับจะผิดไปไกล...........แต่ก็ดีแล้วล่ะ ชั้นเองก็มีธุระกับคุณบาน่าด้วย
เดี๋ยวพอเรียกพวกซาเรียแล้วจะตามไปที่ปราสาทนะ」
「งั้นเหรอคะ ถ้างั้นแล้วเจอกันนะคะ」
แล้วหลังจากที่แยกกับรุยเอสที่กลับมาอย่างปลอดภัย ชั้นก็ไปเรียกพวกซาเรียเพื่อไปพบกับคุณบาน่า
◆◇◆
มีชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้าไปด้านในถ้ำที่มืดทึม
แม้ที่ผนังจะมีไฟจากแสงเทียนก็ยังมืดจนมองไม่เห็นเท้า ทว่าการย่างก้าวของชายคนนั้นกลับไม่สับสน
แสดงให้เห็นถึงความคุ้นชินในสถานที่ของชายคนนั้น
ไม่นานนักพอมาถึงด้านในสุดก็เจอที่กว้างขนาดใหญ่คล้ายห้องจัดงานเลี้ยง
ในที่ว่างตรงกลางนั้นเป็นแท่นบูชาที่ทำจากหินชวนให้รู้สึกหวาดผวา
แม้คนทั่วไปพอได้เห็นที่แห่งนี้จะรู้สึกไม่ดีแต่ชายผู้นี้กลับรู้สึกดีกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก
「เฮ้ ไครย์~!ไหงทำหน้าบูดแบบนั้นล่ะ?」
มีเสียงมาจากด้านบนของชายคนนั้น----------ไครย์โดยไม่ทันตั้งตัว
「อุฟู่..........เลสเตอร์งั้นเหรอ」
「ก๊ากฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!ไม่เจอกันนานเลยนะพวก!」
ทันใดนั้นจู่ๆชายที่ส่งเสียงจากด้านบนก็ปรากฏตัวออกมาตรงหน้าไครย์
ผมตั้งสีแดงหม่น ตาแบบสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดใหญ่ที่พอกลอกลูกตาแล้วเหมือนจะมีเสียง
แจ็คเก็ตสั้นสีดำกางเกงสีน้ำตาลเป็นชุดที่ใส่แบบง่ายๆ
หลังโค้งงอแถมท่าทางที่ชอบแผล่มลิ้นออกมาดูน่าขยะแขยง
ทั้งที่ไม่เห็นวี่แววการลงมาจากข้างบนแต่กลับมาโผล่ที่ตรงหน้าได้
ซึ่งไครย์เองก็ไม่เข้าใจว่าทำได้ยังไงเหมือนเดิม
..........เป็นคนที่น่าขยะแขยงชะมัด..........
แม้จะคิดในใจอย่างนั้นแต่ในฐานะที่เป็นพวกพ้องกันก็พึ่งพาได้เป็นอย่างดี
สำหรับไครย์แม้ชายตรงหน้า.........เลสเตอร์จะขี้เล่นไปหน่อยแต่โดยรวมก็ใช้ได้
「หมูที่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ป่านนี้แล้วยังจะทำอะไรได้?」
แล้วก็มีเสียงใหม่ที่พูดแทรกการพูดคุยกับเลสเตอร์ออกมาอีก
「อุฟู่...........แอนเครีย......」
ไครย์ที่ถูกยั่วโมโหหันสายตาไปก็เจอกับผู้หญิงสวมชุดโกธิคหรูหราสวมหมวกปีกกว้างสีดำ
ทั้งยังถือร่มกันแดดที่สีดำเหมือนกัน
โดยใบหน้าครึ่งซีกมีหน้ากากสีขาวปิดบังไว้
「ไม่ได้เรื่องเอาซะเลยเนอะ? อุตส่าห์วางแผนซะดิบดีมั่นใจแน่นอนว่าไม่มีทางพลาด
.........แล้วเป็นไงบ้างล่ะ? ความรู้สึกที่พลาดไปอย่างน่าเจ็บใจน่ะ?」
「อุฟู่-อุฟู่ー!」
แม้ไครย์จะโกรธจนหน้าแดงก่ำแต่ที่พูดมามันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้นเลยเถียงไม่ออก
「ไครย์ นายน่ะทำอะไรเองบ้างเป็นมั้ย บอกว่าจะฆ่า ฆ่า ฆ่า..........แล้วก็ฆ่า
แต่กลับเอาแต่ไปพึ่งพาพวกมอนเตอร์ มันต้องลงมือเชือดด้วยตัวเองสิมันถึงจะสะใจจริงมั้ย?」
「ก๊ากฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!แอนเครียวิธีคิดนี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ!
ว่าแต่ลองมาฟังวิธีที่ชั้นใช้เพื่อคืนชีพท่านเทพปีศาจดูบ้างดีมะ!」
「หืม เลสเตอร์ก็มีทำอะไรกับเขาด้วยเหรอ?」
「โอ้!ก็เอาป้ายห้องน้ำชายไปสลับกับห้องน้ำหญิงไง!」
「เล็กชิบ!? คิดวิธีที่ทำให้เกิดความสิ้นหวังให้ใหญ่กว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอไง!?」
ไครย์เผลอตบมุขกับวิธีการของเลสเตอร์
แต่แอนเครียนั้นต่างกันถึงกับสั่นขึ้นมาเลย
「พอคิดว่าเข้าห้องน้ำชายกลับกลายเป็นห้องน้ำหญิง..........ผู้ชายคนที่เข้าไป
ก็ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกวิตถาร..........น่ากลัวไม่เบาเลยนะเลสเตอร์!」
「อุฟู่ー!แอนเครียจริงจังหน่อยสิ!」
「เฮ้เฮ้ ไม่ต้องโกรธขนาดนั้นก็ได้น่า? ก็นั่นไง 『ขยะเองหากทับถมกันก็ไปถึงพระเจ้าได้』!
พูดไว้ว่าแบบนี้รึเปล่าน้า?」
「จะไปมีได้ไงฟะ!? เจ้าคนบาปหนานี่!」
ขณะที่เวลาผ่านไปด้วยความราบเรียบผิดกับบรรยากาศที่ชวนหวาดผวา
จู่ๆบนแท่นบูชาก็มีเปลวไฟสีม่วงลุกโชนขึ้นมา
「「「!!」」」
ทันทีที่ทั้งสามคนเห็นไฟนั้นก็รีบไปยังแท่นบูชาแล้วก้มหัวลง
จากนั้นก็มีเสียงอันแปลกประหลาดที่คาดเดาเพศหรือวัยไม่ออกดังขึ้น
『การคืนชีพของเรายังไม่มาถึงอีกรึ? 【สาวก】ที่รักของเราทั้งหลาย』
เมื่อได้ฟังเสียงนั้นไครย์ก็เกิดอาการดีใจสุดขีดพร้อมกันนั้นก็รู้สึกเจ็บใจอย่างมาก
ที่ยังไม่อาจคืนชีพให้นายเหนือหัวได้
「อุฟู่ー!อ อีกไม่นานหรอกครับ!ตอนนี้สาวกของพวกเราที่กระจายกันไปทั่วทุกที่
กำลังสร้างความสิ้นหวังเพื่อสังเวยให้แด่ท่านเทพปีศาจอยู่ครับ..........!」
ไครย์ที่พูดไปตามนั้นพูดโดยที่หน้าผากแนบติดกับพื้นดิน
จากนั้นเปลวไฟสีม่วงก็ตอบกลับมา
『ไม่เป็นไร เราเชื่อในตัวพวกเจ้า อีกทั้งเมื่อการคีนชีพของเราสำเร็จ
ต้องเอาพลังที่ใชัสังหาร【พระเจ้าที่มีตัวตนเหนือกฏของโลกนี้】มาให้ได้』
「นั่นคือ...........」
『ในช่วงที่ถูกปิดผนึกมานานจนนับช่วงเวลาไม่ได้นั้น............เทพที่เป็นผู้ขับไล่เรา
เกิดหวั่นเกรงการกลับมาของเราจึงได้ทอดทิ้งดาวดวงนี้ไป ทว่าเพราะการทำแบบนั้น
ทำให้เราสามารถฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้!เจ้าเทพโง่เง่านั่นไม่ใช่แค่ลืมว่าเราจะฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้
ยังอาจจะลืมเลือนไปถึงตัวตนนี้ด้วยซ้ำ แต่ด้วยพลังของเราจะทำให้เจ้าเทพนั่นได้รู้อีกครั้ง
ว่าตัวตนที่เรียกว่า【พระเจ้า】มีได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!』
ไฟได้ลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรงตามอารมส์ที่พูดออกมา
ภาพที่เห็นนั้นพวกเราสามคนได้แต่มองด้วยความปลื้มปิติ
『สาวกที่รักของเราทั้งหลายเอ๋ย จงถวายความสิ้นหวัง ความตาย ความวุ่นวายมาให้แก่เรา
【ความมืด】จะหลอมรวมกันกลายเป็นเลือดเนื้อเพื่อการกลับมาของเรา-------』
「「「รับทราบ!ทุกอย่างเพื่อท่านเทพปีศาจ..............!」」」
แล้วไฟสีม่วงก็หายลับไปจากตรงนั้น
แต่ถึงแม้จะผ่านไปได้สักพักแล้วทั้งสามคนก็ยังไม่เคลื่อนไหวจากตรงจุดเดิมเลย
จากนั้นเมื่อเริ่มเคลื่อนไหวทั้งสามต่างก็มีแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
「บุฮิบุฮิบุฮิ เพื่อการคืนชีพของท่านเทพปีศาจ ต้องให้สิ้นหวังกันหนักขึ้นไปอีก..........」
「แต่ว่า มันก็ไม่เห็นต่างจากที่เคยทำกันมานี่นาจริงมะ?」
「อุฟู่..........ไม่หรอก ถ้าแค่จะให้เกิดความสิ้นหวังแบบธรรมดาแค่ไล่ฆ่าคนอย่างเดียวก็พอ
แต่การจะให้มีความสิ้นหวังใหญ่โตกว่านี้มันต้องให้ถึงระดับทำลายความหวังกันต่อหน้าต่อตา」
「เข้าใจล่ะ!งั้นเอางี้ พอคนจะเข้าไปอึในห้องน้ำสาธารณะ
ก็ล็อกคุญแจห้องน้ำไว้ทั้งหมดทำเป็นว่ามีคนอยู่ข้างในเป็นไง!?」
「ก็บอกแล้วไงว่า ทำไมถึงได้ทำแต่เรื่องเล็กน้อยแบบนั้น!」
「ไม่ได้เหรอ? แต่ลองคิดด้านความรู้สึกสิ้นหวังดูสิ..........ตอนปวดอึจะราดอยู่แล้ว
อุตส่าห์ขมิบไปจนถึงห้องน้ำแต่ดันเต็มหมดทุกห้อง!เป็นไง? สิ้นหวังดีมะ?」
「แบบว่า มันก็ใช่อยู่หรอกแต่...........」
ขณะที่เลสเตอร์กับไครย์กำลังถกเรื่องไร้สาระกันอยู่สองคน
แอนเครียกลับคิดถึงเรื่องสาวกคนอื่นๆที่กระจายกันอยู่ตามแต่ละพื้นที่
พยายามคิดหาตัวสาวกซึ่งอยู่ในที่ๆสามารถรวมรวมความสิ้นหวังได้เป็นพิเศษ
และแล้วก็นึกขึ้นมาได้หนึ่งคน
「นึกออกแล้ว...........」
「อุฟู่-? นึกอะไรออกล่ะ?」
「ฉันน่ะคิดว่าเพราะรวมรวบความสิ้นหวังด้วยตัวคนเดียวเลยเกิดความผิดพลาดขึ้นมา
ถึงไครย์เองจะให้คนอื่นร่วมมือแต่ก็แค่ในขั้นตอนการเตรียมงานซึ่งนั่นยังไม่พอ
ถ้าเกิดร่วมมือกันสองคนตั้งแต่ต้นจนจบก็น่าจะต้องรวบรวมความสิ้นหวังได้แน่นอนยิ่งขึ้น」
「อุฟู่.............ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วมันยังไงล่ะ?」
「ไครย์ นายจำสถานที่ๆเดมิโอรอสไปประจำอยู่ได้มั้ย?」
「เดมิโอรอส? ..........หรือว่า!?」
พอไครย์นึกถึงบุกคลที่แอนเครียพูดถึงออกก็ยื้มอย่างน่ารังเกียจ
ส่วนแอนเครียก็ตอบกลับรอยยื้มนั้นด้วยรอยยิ้มอันเย้ายวน
「ใช่-----------แถว『โรงเรียนเวทมนตร์บาบาโดล』ไงล่ะ」
------------【ลัทธิเทพปีศาจ】
นั่นคือองค์กรของพวกเขาที่เรียกตนเองว่า【สาวก】สังกัดอยู่
ซึ่งได้เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังในสถานที่ต่างๆคอยรวมรวมความสิ้นหวังเพื่อคืนชีพให้เทพปีศาจ