ตอนที่ 41 ประชุมกองทัพจอมมาร
【เฮลซ่า】ดินแดนของป่าแห่งความมืดและผืนดินอันรกร้างซึ่งถูกเรียกว่าเป็นอาณาเขตของจอมมาร
ในใจกลางเฮลซ่านั้นมีมหานครขนาดใหญ่『แกรนเบิร์ก』ตั้งอยู่
ซึ่งเป็นมหานครศูนย์กลางที่มีเผ่าปีศาจมากมายอาศัยอยู่และเป็นที่ตั้งของปราสาทจอมมาร
ปราสาทจอมมารล้อมรอบด้วยกำแพงขนาดมหึมาผู้ใดได้พบเห็นต่างต้องครั่นคราม
รูปลักษณ์ของปราสาทก็สมกับเป็นปราสาทของจอมมารผู้น่ากลัวตามอย่างที่มนุษย์จินตนาการไว้
และที่ห้องประชุมของปราสาทจอมมารที่ว่านั้นได้มีกองทัพจอมมารทั้ง58หน่วยมาประชุมกัน
◆◇◆
ฉัน-------------เรย์ย่า ฟาร์ซ่าหลังจากช่วยคืนชีพท่านเทพมังกรดำแล้วก็มุ่งหน้ามายังปราสาทจอมมาร
เหตุผลก็คือมีการจัดประชุมกองทัพจอมมาร ทว่า ยังไม่รู้ถึงเนื้อหาของการประชุม
เพราะสายไปเล็กน้อยจากการไปช่วยฟื้นพลังของท่านเทพมังกรดำ
ฉันเลยต้องรีบนิดหน่อยเพื่อไปห้องประชุม
พอเดินไปตามทางหินอ่อนที่ปูด้วยพรมสีแดงในที่สุดก็มาถึงห้องประชุมที่เป็นเป้าหมาย
บานประตูห้องประชุมที่ทำจากไม้เนื้อหนาไม่ว่ามากี่ครั้งก็อดตึงเครียดไม่ได้
พอปรับลมหายใจสักรอบ ก็เคาะประตูแล้วแจ้งชื่อ
「หัวหน้าหน่วยที่3แห่งกองทัพจอมมาร เรย์ย่า ฟาร์ซ่า บัดนี้ได้มาถึงแล้ว」
หลังจากแจ้งชื่อไปประตูก็เปิดขึ้นอัตโนมัติ
ในนั้นมีพรรคพวกหัวหน้าหน่วยนอกจากชั้นอยู่กันพร้อมเพรียงอย่างที่คิดเลยก็ว่าได้
ทุกคนนั้นนั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง
ด้านในสุดของโต๊ะเป็นบานประตูสีแดงอันน่าเกรงขาม
จะหยุดยืนค้างอยู่ที่ประตูก็กระไรอยู่เลยรีบไปนั่งตรงที่เก้าอี้ว่างทันที
แต่ยังไงซะเรื่องที่นั่งนี่ก็เลือกสักที่ตามใจชอบได้อยู่แล้ว
พอกำลังจะพักหายใจก็มีเผ่าปีศาจคนนึงมาหาเรื่อง
「เฮ้ย เรย์ย่า!มาสายในการประชุมอันสำคัญมันหมายความว่ายังไง!」
「หนวกหูน่า..........ฉันเองก็มีธุระเหมือนกันนั่นแหละ」
「มันมีธุระที่สำคัญยิ่งกว่าการประชุมด้วยเหรอ!หัดรู้จักรักษาเวลาหน่อย!」
「เป็นผู้ชายที่น่ารำคาญจริงๆเลย ยังไงก็มาแล้ว สายหน่อยจะเป็นไรไป」
「ว่าไงนะ!?」
เผ่าปีศาจที่มาหาเรื่องบ่นใส่ฉันคือหัวหน้าหน่วยที่5แห่งกองทัพปีศาจ ยูรุส บามิว
ใส่ชุดทหารสีดำของกองทัพจอมมารและสวมผ้าคลุมสีน้ำเงิน
จากด้านนอกของเครื่องแบบยังเห็นกล้ามเนื้อที่ปูดขึ้นมาได้เลย
บอกตามตรงมันยั่วต่อมอารมส์จนทำให้ฉันรู้สึกอึดอึดได้ทุกครั้ง
ผิวสีดำและมีเขาขนาดใหญ่งอกที่ขมับซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงความเป็นเผ่าปีศาจของยูรูส
เผ่าของยูรูสคือเผ่าอสูรซึ่งมีเป็นจำนวนมากในเผ่าปีศาจ
แถมไม่ใช่เผ่าอสูรธรรมดายังเป็นหัวหน้าของเผ่าอสูรราชาที่เป็นผู้ปกครองเผ่าอสูรทั้งหมดอีกด้วย
พอเมินคำพูดทั้งหมดของยูรูส เผ่าปีศาจหญิงที่นั่งอยู่ด้านข้างก็เอ่ยปากขึ้น
「ไม่ได้นะจ๊ะ? เรย์ย่า ต้องมาให้ตรงเวลาสิ แต่ยูรูสเองก็โมโหเกินไปนะ?」
「ฮ ฮึ่ม...........รีเล็ตต้าพูดอย่างนั้นล่ะก็............」
「รู้แล้วน่า............」
ที่กล่าวเตือนฉันกับยูรูสคือหัวหน้าหน่วยที่4แห่งกองทัพปีศาจ รีเล็ตต้า บัลไฮน์
ผมทรงคลื่นสีครีมแบบปล่อยสบาย ดวงตาสีน้ำตาลแลดูอ่อนโยน
ตาย้อยนิดหน่อยแต่เพราะไฝที่ใต้ตาขวาทำให้ดูเซ็กซี่ชอบกล
พูดเองมันก็ยังไงอยู่แต่ความงามในฐานะผู้หญิงไม่ได้ด้อยไปกว่าฉันเลย
มันก็แน่อยู่แล้วล่ะนะก็เผ่าพันธุ์ของเธอคือเผ่าซัคคิวบัสแถมยังสวยจนถึงขั้นยกให้เป็นราชินีเลยด้วย
แล้วด้วยการที่เธอกับฉันเป็นเผ่าปีศาจเพศหญิงกันเพียงสองคนในระดับหัวหน้าจึงทำให้สนิทกัน
โดยฉันเรียกเธอว่าเรีย
แล้วก็เพราะไม่ได้มีผิวดำเหมือนอย่างยูรุส ภายนอกเลยดูแทบไม่ต่างจากมนุษย์
แต่ด้วยปีกค้างคาวที่งอกขึ้นที่หลังของเรียจึงเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าเธอเป็นเผ่าปีศาจ
「ต่อไปก็ระวังหน่อยล่ะ?」
พอเห็นรอยยิ้มที่ดูเป็นห่วงของเรียแล้วฉันกับยูรุสลำบากใจขึ้นมาเลย
แปลกจังน้า ทั้งที่ฉันกับเรียก็อายุเท่ากันแท้ๆ...........
พอได้คบหากับเรียแล้วยังไงๆก็มองเรียได้แต่ในฐานะพี่สาว
แต่ว่าไม่เกี่ยวกับการที่เรียเป็นซัคคิวบัสหรอกนะ
เพราะเมื่อสมัยก่อนฉันเคยให้ยืมนิยายรักแบบติดเรทนิดหน่อย
พอวันต่อมาก็รีบเอามาคืนทั้งหน้าแดงๆเลย เรียกได้ว่าใสซื่อบริสุทธิ์ของแท้
ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่หน้าอกกลับใหญ่มโหฬาร
แม้แต่ตอนนี้ช่วงบริเวณอกของเครื่องแบบหญิงสีดำยังแทบจะฉีกทะลักออกมาเลย
ฉันเองก็คิดว่าหน้าอกตัวเองมีไม่น้อยแต่ยังแพ้เรียอยู่ดี
กรอด............!ถ้าเป็นอกนั่นล่ะก็ป่านนี้ฉันได้มีค่ำคืนอันเร่าร้อนกับแฟนหนุ่มไปแล้ว...............!
「เดี๋ยวเถอะ เรย์ย่า? ทำไมมองหน้าอกของฉันเหมือนมองศัตรูคู่แค้นของพ่อแม่แบบนั้นล่ะ?」
「เรื่องนั้นก็ลองจับหน้าอกตัวเองแล้วฟังดูสิ」
「เอ๋?」
เรียจับหน้าอกตัวเองอย่างจริงจังพลางเอียงคอ
แล้วก็ได้เห็นสภาพที่หน้าอกล้นออกมาจากมือที่จับ ............มันอะไรกัน? ความรู้สึกพ่ายแพ้นี่
ขณะที่คิดเรื่องบ้าๆพรรณนั้นอยู่ ตรงที่นั่งห่างออกไปนิดหน่อย ชายที่มีบรรยากาศเฉื่อยชาก็พูดขึ้น
「เน่ ยังไม่เริ่มอีกเหรอ? ถ้าไม่มีอะไรจะกลับไปนอนแล้วน้า」
พูดแล้วชายคนนั้นก็หาววอดออกมา
-----------หัวหน้าหน่วยที่2แห่งกองทัพปีศาจ โซลัว วัลเร่
นั่นคือชื่อของชายคนนั้นซึ่งถึงแม้จะไม่เท่ากับท่านเทพมังกรดำหรือเทพมังกรขาว
แต่ก็เป็นหนึ่งในเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง
ใส่เครื่องแบบทหารเช่นเดียวกับยูรุสแต่ไม่สวมผ้าคลุมแถมสภาพยังดูเก่าๆขาดๆอีกด้วย
มีผมสีเงินยาวผูกอยู่ที่กลางหลัง ดวงตาสีแดงแต่ไม่รู้สึกถึงพลัง
ภายนอกก็ต่างจากยูรุสหรือเรียที่ถ้าดูภายนอกแทบจะหาจุดแตกต่างกับมนุษย์ไม่ได้เลย
ทว่าถ้ามองดูดีๆที่ปากของโซลัวจะมีเขี้ยวแพล่มออกมาซึ่งยาวกว่ามนุษย์อย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งเผ่าพันธุ์ของโซลัวคือแวมไพร์นั่นเอง
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นสายเลือดแท้ที่เหนือยิ่งกว่าบรรพบุรุษของตัวเอง
ทำให้เป็นแวพไพร์ที่สมบูรณ์แบบซึ่งสามารถก้าวข้ามจุดอ่อนของแวพไพร์ได้ทั้งหมด
เพราะมีตัวตนเช่นนั้นจึงทำให้แม้แต่ยูรุสที่ว่ากล่าวฉันที่มาประชุมสายยังไม่กล้าไปว่าโซลัว
ตัวใหญ่แต่ใจมดจริงๆ
พอส่งสายตาเย็นชาไปที่ยูรุส ยูรุสที่รู้สึกตัวถึงเรื่องนั้นเลยหันสายตาหนีอย่างไม่สบอารมส์
เอาเถอะก็โซลัวแกร่งถึงขนาดแม้แต่เรียเองยังไม่ค่อยกล้าจะไปเตือนเลย
เพราะแบบนี้แหละถึงได้ถูกเรียกว่า『ราชาสีเลือด』
-----------แต่ก็นะสัตว์ประหลาดระดับนั้น..............ยังมีอยู่อีกตั้ง2คน
「---------เลิกบ่นสักทีเถอะ โซลัว」
「หา?」
เรียบๆ.........แต่ผู้ที่ได้ฟังทุกคนต่างหวาดผวากับเสียงอันน่าเกรงขามนั้น
เสียงนั้นแน่นอนว่าพุ่งเป้าไปที่โซลัว
「รอไปเงียบๆซะ」
ผู้ที่พูดออกมาน้อยคำแต่สามารถเตือนโซลัวได้นั้นในที่นี้มีอยู่น้อยคนนัก
นั่นก็คือหัวหน่วยที่1แห่งกองทัพปีศาจ เซรอส อัลบาน่า
ซึ่งเป็นหัวหน้าของหน่วยที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในกองทัพปีศาจ
ทั้งยังถูกเรียกว่า『ผู้กวาดล้าง(Deleter)』ในหมู่พวกมนุษย์ด้วย เป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
มีผมสีน้ำเงินที่ยุ่งเหยิง ตาแหลมคมสีทองดุจมังกร สีหน้าเรียบนิ่งแต่รู้สึกได้ถึงความดุดัน
แต่งชุดเครื่องแบบสีดำอย่างเป็นระเบียบ ทว่าแม้ไม่ได้มีกล้ามเนื้อปูดโปนออกมาเหมือนยูรุส
ก็ยังให้ความรู้สึกดูสง่า
โซลัวถลึงตามองเซรอสผู้นั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวไม่เหมือนกับเมื่อครู่นี้
「หนวกหู...........อย่ามาสั่งข้า」
「งั้นจะให้พวกเราเลิกประชุมครั้งนี้เพียงเพราะความเอาแต่ใจของนายคนเดียว
จนต้องเดือดร้อนท่านรูเทียงั้นเหรอ?」
「ไม่เกี่ยวสักหน่อย ข้าแค่ไม่ชอบความยุ่งยากก็เท่านั้น」
พอโซลัวตอบมาด้วยความรำคาญจากใจ เซรอสก็หันมาด้วยแววตาแหลมคม
「งั้นเหรอ----------งั้นก็หายไปจากที่นี่เลยเป็นไง? เจ้าค้างคาว」
เซรอสแผ่รังสีอันน่าสะพรึงกลัวออกมาจากร่ายกายพลางพูดอย่างเรียบๆ
พอเห็นสภาพการณ์แบบนั้น ยูรูสก็กระซิบบอกกับฉัน
「นี่ ชักท่าไม่ดีแล้วนะแบบนี้? ขืนเซรอสอาละวาดขึ้นมา ตัวข้าเองก็หยุดไม่ได้แน่」
「อย่างนายน่ะต่อให้โซลัวอาละวาดก็หยุดไม่ได้เหมือนกันแหละ」
「ม ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!?」
คงเชื่อได้หรอกเนอะ
เรื่องนั้นช่างมันเถอะแต่ถ้าเซรอสอาละวาดขึ้นมาจริงๆล่ะก็ปราสาทจอมมารแห่งนี้คง............
ไม่สิ แกรนเบิร์กมีหวังไม่เหลือแน่
「ซ เซรอส!ใจเย็นๆก่อน!」
แม้รีเล็ตต้าจะพยายามห้ามอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่ได้เข้าหูของเซรอสเลย
แล้วตอนนั้นเองร่างกายของโซลัวที่เป็นคู่กรณีของเซอรสก็มีไอมืดลอยออกมา
สำหรับแวพไพร์นั้นคำพูดดูแคลนที่ต้องห้ามเลยคือคำว่า『ค้างคาว』
ถ้าไม่ฟิวล์ขาดก็แปลกล่ะ
โซลัวที่ห่อหุ้มร่างด้วยความมืดพูดสวนเซรอส
「----------จะบี้ให้เละเลย ไอ้จิ้งเหลน」
ทำไมต้องไปพูดยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าไปอีกเนี่ย
เผลอคิดแบบนั้นขึ้นมาเลย
แต่ฉันเองก็ชอบแกล้งยั่วโมโหคนอื่นเหมือนกันคงไปว่าใครเขาไม่ได้
แล้วก็เรื่องเผ่าพันธุ์ของเซรอสนั้นยังไม่แน่ชัด
ตามที่โซลัวพูดแม้ตาจะดูเหมือนมังกรแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเผ่ามังกร
นั่นเพราะพ่อแม่ของเซรอสนั้นเป็นเผ่าอสูรทั่วๆไป
แต่เซรอสที่เกิดมาจากพ่อแม่ที่เป็นเช่นกันกลับไม่มีเขาที่เป็นสัญลักษณ์ของเผ่าอสูร
แถมมีพลังมากมายตั้งแต่เกิดยิ่งกว่ายูรุสที่เป็นเผ่าอสูรราชาซะอีก
เรียกอีกอย่างคือเป็นพวกผ่าเหล่านั่นเอง
『ราชาโลหิต』กับ『ผู้กวาดล้าง』.........ถ้าสองคนนี้ซัดกันขึ้นมา
พวกฉันที่อยู่ใกล้ๆไม่เหลือซากแน่
ขณะที่คิดอย่างนั้นไปตามเรื่องตามราว เรียก็ตะโกนเรียกฉัน
「นี่เรีย!เธอเองก็ช่วยด้วยสิ!」
「ไม่ไหวหรอก ทั้งสองคนเก่งห่างกันแบบคนละชั้นเลยนี่นา」
「ก็ถึงได้บอกไงว่าให้มาช่วยกัน!」
บอกไว้ก่อนเลยว่าถึงเรียไม่พูดชั้นก็อยากใช้เวท『เวทอากาศ』ที่เป็นเวทเฉพาะตัว
ห้ามทั้งสองคนอยู่แล้ว
แต่ว่านะ โซลัวใช้ความมืดก็กลืนกินเวทของฉันได้ ส่วนเซรอสแค่เป่าลมเวทของฉันหายไปแล้ว
อย่างนี้จะเปลือแรงเข้าไปห้ามทำไมล่ะ
เพราะงั้นฉันเลยตัดใจมานั่งกินเค้กบนโต๊ะดีกว่า
「อ๊าโธ่!ยูรุส!นายเองก็ช่วยหน่อยสิ!」
「เอ๋ !? ต ตัวข้านี่นะ!? เอ่อ...........ช ใช่แล้ว!ท้อง! พอดีปวดท้องเลยช่วยไม่ไหวน่ะ!
แหม น่าเสียดายจัง!」
「เดี๋ยวเถอะ!รู้นะว่าโกหก!?」
ยูรุสนี่ถึงภายนอกจะดูน่ากลัวแต่ข้างในไม่ได้เรื่องเอาซะเลย
แต่ถึงเป็นเช่นนั้นในจังหวะที่บรรยากาศตึงเครียดระหว่างโซลัวกับเซรอสคุกกรุ่นอยู่นั่นเอง
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคนสุดท้าย...............ซึ่งเทียบเท่ากับโซลัวและเซรอสก็เริ่มเคลื่อนไหว
「โซลัวจัง เซรอสจัง ก่อเรื่องวุ่นวายแบบนี้มันไม่ดีน้า?」
ชายคนนั้นพูดสำเนียงหญิงๆแล้วก็ตบหัวโซลัวกับเซรอส
โครมมมมมมมมมมมม!
ทว่าแค่การตบตัวก็ทำให้โซลัวกับเซรอสหน้าทิ่มไปกับโต๊ะประชุม
ว่าแต่นั่นเสียงตบหัวแน่เหรอ?
แต่ถึงแม้จะหยุดแบบรุนแรงขนาดนั้นแต่ทั้งโซลัวและเซรอสก็ไม่ได้บาดเจ็บหรือมีสีหน้าไม่พอใจ
「........โทษที ใจร้อนไปหน่อย」
「............ชิ ขอโทษด้วยแล้วกัน」
----------หัวหน้าหผู้คุมกฏแห่งกองทัพปีศาจ เจด เรเวน
เผ่าอินคิวบัส ทั้งยังเป็นหนุ่มหล่อที่ยากหาคนมาเทียบด้วยได้แต่ทว่า............
อื้ม ดันไม่สนใจผู้หญิงอย่างพวกฉันสักนิด แถมเอาแต่ไล่ตามผู้ชายอย่างเดียว
เรื่องความหลงใหลอยากได้ผู้ชายนี่รุนแรงยิ่งกว่าฉันด้วยซ้ำ
แต่ก็เสียของจริงๆนั่นแหละ
ผมสีทองสลวย นัยน์ตาสีม่วง หุ่นเสลนเดอร์สมกับเป็นหนุ่มหล่อ
ถ้าไม่ได้ชอบผู้ชายล่ะก็ป่านนี้คงเนื้อหอมในหมู่ผู้หญิงไปแล้ว
แต่ถึงจะไม่เนื้อหอมก็ยังคุยสนิทสนมในแบบผู้หญิงกับฉันหรือเรียอยู่บ่อยๆ?
จนตอนนี้เรียกได้ว่าคบหากันในฐานะผู้หญิงไปแล้ว
พอโซลัวเอามือลูบหลังหัวกับเซรอสทำหน้าไม่พูดอะไรแล้ว เจดก็ส่งสายตาแทะโลมทั้งสองคน
「เด็กดี เดี๋ยวจะจุ๊บเป็นรางวัลให้ทีหลังนะ」
「「ไม่ต้องการ」」
โอ้ เจดนี่สุดยอดเลย
ขนาดโซลัวกับเซรอสที่ไม่ชอบขี้หน้ากันยังทำให้ปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันได้
เอาเถอะ ถึงกองทัพปีศาจจะมีปัญหากันหลายอย่างแต่ฉันก็รู้สึกว่ายังไงก็ผ่านมันไปได้อยู่แล้ว
หลังจากเรื่องนั้นสงบลงแล้วผ่านไปได้สักพัก ประตูสีแดงที่ด้านในห้องประชุมก็เปิดออก
「!」
ทันทีที่ประตูสีแดงเปิดออกพวกเราก็ยืนขึ้นพร้อมกัน
จากนั้นที่ประตูสีแดงก็มีบุคคล2คนปรากฏตัวออกมา
ผมสีน้ำเงินเข้ม ตาสีดำ
หน้าตาเรียบนิ่งราวกับตุ๊กตา และมีความสวยที่ราวกับเป็นตุ๊กตาจริงๆ
สวมชุดเดรสสีดำ ทับด้วยเสื้อคลุมยาวติดขนสัตว์ฟูฟ่องสีดำ
ท่าทางการเดินให้บรรยากาศน่าสะพรึงกลัวสมกับเป็นราชา
ใช่แล้ว เธอผู้นั้นคือ---------บุตรสาวของจอมมาร ท่านรูเทีย บิวต์
ท่านรูเทียเข้ามาในห้องประชุมที่สงบเงียบแล้วมาหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะ
จากนั้นก็ทอดสายตามาทางพวกเราแล้วเอ่ยปากขึ้น
「-----------ทุกคน ขอบคุณสำหรับการตอบรับการเรียกประชุมในครั้งนี้」
เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
ทันทีที่ได้ฟังประโยคเดียวนั้นพวกเราก็หยิบอาวุธที่เป็นความภาคภูมิใจและจิตวิญญานของตัวเอง
มาปักลงพื้นแล้วคุกเข่าลงพลางก้มหน้า
นั่นคือการแสดงความเคารพอย่างสูงสุดในหมู่พวกเราเผ่าปีศาจ
การปักความภาคภูมิใจและจิตวิญญานตัวเองลงบนพื้นของเฮลซ่านี้
คือการแสดงให้เห็นว่าถวายทุกอย่างของตัวเองแก่ดินแดนนี้
ก็คิดอยู่ว่าอย่างโซลัวคงไม่แสดงความเคารพออกมาแต่ดูท่าจะเป็นแค่การคิดไปเอง
เพราะโซลัวก็แสดงความจงรักภักดีได้เป็นอย่างดี
พอเห็นพวกเราแสดงความจงรักภักดีเช่นนี้แล้วผู้ที่เข้ามาในห้องอีกคนหนึ่งก็เอ่ยปากบ้าง
「ฟู่ อื้มอื้ม ลำบากกันหน่อยนะ」
ครั้งนี้เป็นตรงกันข้ามแค่เพียงประโยคเดียวพวกเราก็รู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมาในพริบตา
ไครย์.............นั่นคือชื่อของชายที่เข้ามาในห้องด้วยกันกับท่านรูเทีย เป็นคนที่ฉันเกลียดที่สุด
ใบหน้าหย่อนยานไปด้วยไขมัน ตัวก็อ้วนเป็นหมู ทั้งยังเตี้ยแถมหายใจแรงอีกต่างหาก
หน้าผากมีสิ่งที่พอจะเรียกได้ว่าเขาเล็กๆติดอยู่พอให้รู้ว่าหมอนี่เป็นเผ่าอสูร
บอกได้เลยว่าไม่ใช่รูปร่างหน้าตาหรอกนะที่ทำให้เกลียด
ที่ทำให้ฉันเกลียดก็คือเจ้านี่ชอบทำหน้าดูถูกพวกเราทุกคนและนั่นมาจากการที่มันเป็น
ข้ารับใช้คนสนิทของท่านจอมมารซึ่งเป็นบิดาของท่านรูเทีย ทำให้ชอบอวดเบ่งอยู่ตลอดเวลา
ขนาดเมื่อกี้เพราะท่านรูเทียเป็นคนเรียกมาหรอกนะพวกเราเลยมากัน
ไม่ใช่มาเพื่อไอ้โสโครกไครย์อย่างแกสักหน่อย
ทว่าที่เจ้านี่ได้เป็นข้ารับใช้คนสนิทของท่านจอมมารนั้นไม่ใช่เพราะเป็นผู้นำกองทัพปีศาจ
เหมือนอย่างพวกเรา................แต่เป็นเพราะพลังทำนาย
ถึงน่าเจ็บใจแต่คำทำนายของเจ้านี่แม่นมาก
แม่นขนาดที่ในอดีตทำนายการโจมตีของพวกมนุษย์ได้ตั้งหลายครั้ง
ด้วยเหตุนี้เลยสามารถทำนายอันตรายที่จะเกิดกับท่านจอมมารได้เสมอ
จนได้รับตำแหน่งให้อยู่ข้างท่านจอมมาร
แต่ถ้าเป็นฉันล่ะก็จะไม่เอาเจ้าคนที่ไม่น่าไว้ใจแบบนี้ไว้แน่
ท่าทางที่แสดงออกก็มีพิรุธอยู่บ่อยๆว่ามีความซื่อสัตว์ต่อท่านจอมมารจริงรึเปล่า
บางทีคงไม่ใช่แค่ฉัน ระดับหัวหน้าคนอื่นเองก็คงคิดแบบเดียวกัน
ไครย์ที่ไม่รู้ถึงความคิดที่ว่านั้นก็พล่ามอยู่คนเดียวต่อ
「ฟู่ เอาเถอะ ที่มารวมตัวกันเพื่อข้ามันก็เป็นธรรมดา.................อยู่แล้วล่ะเนอะ!
บุฮิบุฮิบุฮิบุฮิบุฮิ!」
หัวเราะแบบนั้นมันอะไรกัน เพิ่งเคยได้ยินเนี่ยแหละ
ขณะที่ตบมุขในใจกับเรื่องไร้สาระพรรณนั้น ท่านรูเทียก็กล่าวออกมา
「............ไครย์ เจ้าน่ะเงียบไปก่อน」
「...........ฟู่ ขอประทานโทษด้วยขอรับ」
เห็นด้วยเลย................
หลังจากท่านรูเทียกล่าวเตือนไครย์ ก็นั่งลงบนเก้าอี้เป็นการแสดงว่าให้พวกเราเงยหน้าขึ้นได้
พอพวกเรานั่งลง ไครย์ก็ยังพูดมาอีก
「ฟู่ ว่าแต่? ท่านรูเทีย ครั้งนี้มีธุระอะไรถึงได้เรียกให้มาประชุมกันหรือขอรับ?」
คิดว่าไครย์ที่ออกมาจากประตูด้วยกันกับท่านรูเทียจะรู้เนื้อหาการประชุมครั้งนี้ซะอีก
แต่สงสัยจะไม่ใช่แฮะ
「.........อื้ม ครั้งนี้ที่เรียกทุกคนมารวมกัน..............ก็เพื่อปรึกษา
เกี่ยวกับเรื่องเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรวินบุค」
「หา!?」
『!!!!』
พวกเราเปิดตากว้างกับคำพูดของท่านรูเทีย
นั่นก็เพราะหากเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรวินบุคตามที่ท่านรูเทียกล่าวมา
ก็หมายความว่า................จะเป็นพันธมิตรกับพวกมนุษย์
พวกมนุษย์ที่เป็นคนผนึกท่านจอมมาร พวกมนุษย์ที่กดขี่ข่มเหงพวกเราเผ่าปีศาจมายาวนาน
เป็นพันธมิตรกับมนุษย์พวกนั้นเนี่ยนะ..............
แล้วเหนือสิ่งอื่นใดเลยทำไมต้องเป็นอาณาจักรวินบุคด้วย!?
นั่นมันเป็นที่ๆพวกเบลลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องของฉันเอาวงเวทวาร์ปไปโปรย
ถึงเมืองหลวงเทลเวลเองกับมือเลยนะ!?
...........ถ้าเกิดเป็นพันธมิตรกับขึ้นมาจริงๆล่ะก็จะทำยังไงดี
ม ไม่เป็นไรหรอกมั้ง? ก็แค่100อันเอง แถมอาจวาร์ปมอนเตอร์ไปแทนมนุษย์หมดแล้วก็ได้
ช ใช่แล้ว!ไม่ว่าเรื่องอะไรการมองไปข้างหน้าเป็นสิ่งสำคัญเนอะ!
「? เรย์ย่า ทำไมดูหน้าซีดจัง.................」
「เอ๋!? จ จจจจจจจจจจจจจจจจจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงล่ะ!
โธ่ เรียล่ะก็พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้!」
「..........ไม่เป็นไรจริงๆนะ?」
ถึงเรียจะแสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมาแต่จะให้บอกไปตามตรงที่นี่เลยได้ไง
...........กลับไปต้องลงโทษเจ้าพวกนั้นหน่อยแล้ว
ขณะที่ในใจกำลังเผยรอยยิ้มแห่งความมืด ไครย์ก็แสดงสีหน้าลนลานออกมา
「พ พูดอะไรออกมาน่ะขอรับ!เป็นพันธมิตรกับมนุษย์!? ช่างไร้สาระสิ้นดี.............!」
「.........อืม แต่ข้าเอาจริงนะ」
「หา!?」
ไครย์ถึงกับพูดไม่ออกที่ท่านรูเทียคิดจริงจังเรื่องที่จะเป็นพันธมิตรกับมนุษย์
「............แน่นอน ข้าเองก็เกลียดมนุษย์ เพราะเมื่อสมัยก่อนมนุษย์ปฏิบัติกับพวกเรา
เยี่ยงปศุสัตว์ ทั้งยังปิดผนึกพ่อของข้า......ท่านจอมมารด้วย 」
「ถ ถ้างั้น...........!」
「...........แต่ว่า เพราะเป็นเช่นนั้น...............พวกเราจึงจำเป็นต้องหันหน้าเข้าหากัน」
「ไม่เห็นจะเข้าใจเลยขอรับ!นี่ท่านฟั่นเฟือนไปแล้วงั้นหรือ!」
「..........ข้าไตร่ตรองดีแล้ว หากยังถูกฉุดรั้งไว้ด้วยอดีตอันมืดมน ก็จะไม่มีทางได้เห็นรอยยิ้มของวันพรุ่งนี้
พวกเราเพื่อที่จะนำรอยยิ้มที่แท้จริงกลับคืนมา.............เพื่อก้าวข้ามผ่านอดีต
จึงจำเป็นที่ต้องอยู่ร่วมกับมนุษย์ให้ได้」
ดวงตาของท่านรูเทียที่พูดออกมาอย่างเด็ดขาดตราตรึงไว้ด้วยความแน่วแน่
จนผู้ที่ได้เห็นต้องคล้อยตามและนับถือ...........เหมือนดั่งเช่นท่านจอมมาร
「...........นากจากนั้นเพื่อนของข้ามีคนที่เป็นนักผจญภัยอยู่ ฟังจากที่เด็กคนนั้นเล่ามา
กษัตรย์ของอาณาจักรวินบุคเองก็พยายามผลักดันการสร้างมิตรภาพกับเผ่าปีศาจ」
「ร เรื่องแบบนั้น มันต้องโกหก-------------」
ทันที่ที่ไครย์จะพูด ท่านรูเทียก็ปล่อยรังสีอำมหิตออกมา
「...........หากจะว่าร้ายเพื่อของข้าล่ะก็............ไม่ยกโทษให้แน่」
「อุฟู่ อุฟู่.............」
ไครย์ที่โดนรังสีอำมหิตเข้าอย่างจัง หายใจแรงยิ่งกว่าปกติแถมหน้าซีดไปเลย น่าสมเพชซะจริง
แต่ ไครย์ที่ขี้แพ้ก็ตะโกนโวยวาย
「อุฟู่...........ช ใช่แล้ว!ท่านรูเทีย!ทำนาย..........คำทำนาย! ก่อนหน้านี้มีทำนาย
เกี่ยวกับพวกมนุษย์ได้ว่าพวกเราจะได้เจอหายนะครั้งใหญ่จากพวกมนุษย์!
เพราะงั้นควรหยุดการเป็นพันธมิตรกับมนุษย์ไว้ก่อนจะดีกว่า!」
「.........ถ้าคำทำนายของเจ้าถูกขึ้นมา...........เมื่อนั้นข้าขอมอบหัวนี้ให้เลย」
「ร เรื่องแบบนั้น มวลชนจะยอมรับ----------」
ตึง!
ทันใดนั้นก็มีเสียงทุบโต๊ะอย่างแรงดังขัดจังหวะการพูดของไครย์
พอหันสายตาไปก็เจอโซลัวที่โมโหจนทนไม่ได้ถลึงตามองไครย์
「เฮ้ย ไอ้หมูอ้วน นี่แกทำตัวจุกจิกน่ารำคาญตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะเฟ้ย
หุบปากแล้วทำตามท่านรูเทียไปซะ ไม่งั้นล่ะก็-----------เละแน่?」
........โซลัวนี่เป็นประเภทที่เรียกันว่า『ซินเดเระ』หรือไง?
เห็นบ่นนั่นบ่นนี่แต่ก็ซื่อสัตย์ต่อท่านจอมมารและท่านรูเทียดีนี่นา
ขณะที่คิดเรื่องไร้สาระแบบนั้นอยู่ คราวนี้เป็นเซรอสที่ชอบกัดกันเป็นคนพูดบ้าง
「ถึงไม่ชอบที่จะเห็นด้วยกับโซลัวแต่............ไครย์ อยากหายไปเดี๋ยวนี้เลยมั้ย?」
ไครย์ที่ถูกสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดแผ่รังสีฆ่าฟันใส่ก็หน้าซีดแบบเดียวกับตะกี้เลย
แล้วเจดที่ตามมาตบท้ายก็พูดบ้าง
「หืม~ก็จริงนะที่ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย? ถ้าไม่หัดระวังคำพูดคำจาบ้างล่ะก็...........
ตกเย็นเดี๋ยวชั้นจะไปลงโทษอย่างร้อนแรงซะเลย?」
「อ อึ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย!」
ว่ายังไงดีล่ะ ในกรณีของเจดนี่คำพูดทำให้หน้าซีดไปในอีกคนละความหมาย
แล้วสุดท้ายไครย์ที่ถูกกำลังรบที่แกร่งที่สุดทั้ง3แห่งกองทัพปีศาจถลึงตาใส่
ก็หน้าซีดจนกลายเป็นหน้าขาวไปเลย
มันก็แน่อยู่แล้วล่ะนะ ไครย์ที่อดทนอยู่ต่อไปไม่ได้ก็รีบวิ่งหนีเข้าประตูแดงไป..............
「จ จำไว้เลยนะ!ถ้าไปเป็นพันธมิตรกับพวกมนุษย์ล่ะก็ เดี๋ยวจะได้รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้!」
ทิ้งประโยคขี้แพ้ตามแบบพวกลูกกระจ๊อกแล้วจากไป
.............ตกลงจะเอาไงแน่? ไอ้หมอนี่
พอบรรยากาศที่ไม่มีไครย์อยู่ในห้องประชุมเริ่มอยู่ตัว ท่านรูเทียก็พูดออกมาอีกครั้ง
「........... ทุกคนขอบคุณมาก จริงอยู่ที่ยังมีประเทศที่ต้องการทำลายพวกเราอย่างอาณาจักรไคเซอร์
แต่ในนั้นก็มีมนุษย์ที่ต้องการเป็นพันธมิตร ซึ่งก็เข้าใจดีว่าความเสี่ยงนั้น...........มีมากมายขนาดไหน
แต่ แต่ถึงกระนั้น...........พวกเราก็จำเป็นจะต้องมุ่งไปข้างหน้า
ดังนั้น...........ต้องขอยืมพลังของทุกคนด้วย.............」
สุดท้ายท่านรูเทียกล่าวมาอย่างอ่อนแรง
แต่คำตอบของพวกเราน่ะมันแน่อยู่แล้ว
พวกเราเหล่าหัวหน้าลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกันแล้วตอบกลับไปด้วยความเคารพอย่างที่สุด
『หัวใจของพวกเรานั้นจักเคียงคู่ไปกับท่านจอมมาร----------』
◆◇◆
ท่ามกลางความมืด มีชายคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเกลียดชัง
「บัดซบบัดซบบัดซบ!แบบนี้แผนการของข้าก็...............!」
พอชายคนนั้นพูดถึงตรงนั้นแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่งเพื่อสงบสติอารมส์
จากนั้นก็พึมพำออกมาคนเดียว
「เอาเถอะ ถึงเพี้ยนจากแผนการไปหน่อย.............แต่ยังอยู่ในระดับที่แก้ไขได้
จะมาหยุดแผนการของข้าน่ะเหรอ ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ทั้งนั้นแหละ บุฮิบุฮิบุฮิ!」
เสียงหัวเราอันน่าขยะแขยงของชายคนนั้นดังต่อเนื่องไปท่ามกลางความมืด...........