ตอนที่ 33 หนังสือเวทมนตร์และความสงบ
「อ้ะ จะว่าไป..........ก็มีเมล็ดวิวัฒนาการที่ได้จากแกะอยู่นี่นา」
ชั้นนึกขึ้นมาได้ทันทีที่ออกจากกิลด์
ลืมสนิทเลยแฮะ........... เอาเถอะก็มีทั้งเรื่องเทพมังกรดำทั้งเรื่องคุณอัลโทเรีย
จนยุ่งวุ่นวายไปหมดนี่นะ...........
「ถึงมีไปตรวจดูห้องสมุดกับซื้อม้าแต่ก่อนอื่นก็ต้องเมล็ดวิวัฒนาการ」
คนที่รู้จักความสุดยอดของผลวิวัฒนาการที่สุดก็ชั้นนี่แหละ
ถึงซาเรียที่วิวัฒนาการด้วยก็รู้ถึงความสุดยอดนี้แต่สำหรับชั้นนั้นทั้งรู้และรู้สึกขอบคุณ
ความสุดยอดของผลวิวัฒนาการเพราะไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่ได้ผลนั้นช่วยไว้
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งที่ชั้นให้ความสำคัญที่สุดในปัจจุบัน
เรื่องจอมมารอะไรนั่นน่ะเอามาเทียบไม่ได้หรอก
แถมโชคดีด้วยที่ชั้นมีธุระที่ร้านอุปกรณ์พอดี
เพราะชั้นกำลังอยากได้อุปกรณ์สำหรับทำยารักษาอะไรพวกนี้
「ก็อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับขวดสำหรับใส่มันจำเป็นนี่นา」
Clever monkeyที่แม้แต่ขวดยังสร้างได้เองนี่สุดยอดชะมัด
「อืมมม..........โอ้ ร้านอุปกรณ์ใกล้กว่าที่คิดแฮะ」
พอมองแผนที่แบบคร่าวๆที่ได้มาจากกัลซุสก็เห็นว่าที่ตั้งร้านอุปกรณ์อยู่ไม่ไกลจากกิลด์
「ดีล่ะ งั้นก่อนอื่นก็ร้านอุปกรณ์นี่แหละ」
พอชั้นตัดสินใจได้แล้วก็รีบเดินไปร้านอุปกรณ์ทันที
ระหว่างทางเห็นตาลุงโลลิค่อนกำลังให้เด็กสาวกินขนมก็ได้แต่ถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
อ้ะ คุณทหารครับ ตรงโน้นมีอาชญากรอยู่แน่ะ
แต่ว่านะ...........ถึงตอนฟังกัลซุสเล่าจะไม่ได้คิดมากแต่พอมองรอบตัวดูดีๆ
ก็เห็นพวกคนที่ใส่กางเกงยีนต์อยู่พอสมควร
ความแตกต่างของโลกมันต่างกันเกินไปจนรู้สึกได้ถึงความขัดแย้ง
นอกจากนั้นยังมีคนใส่เสื้อผ้าทั่วไปของโลกเดิมด้วย
พวกผู้กล้านี่ก็เพลาๆกันซะมั่งสิฟะ
ขณะที่มุ่งหน้าไปโดยคิดเรื่องนั้นอยู่ก็ได้มาถึงร้านอุปกรณ์
「ที่นี่สินะ」
ร้านอุปกรณ์ที่มาถึงนั้นไม่ใช่อาคารที่แปลกแต่อย่างใด เป็นร้านที่ดูธรรมดาสุดๆ
พอเปิดประตูเข้าไปก็เจออุปกรณ์ที่ไม่เคยเห็นวางอยู่เรียงราย
「โอ๊ะ? ลูกค้าเหรอ?」
ขณะที่กำลังประหลาดใจกับอุปกรณ์แปลกๆพวกนี้คุณป้าที่อยู่ด้านในก็ออกมา
「อ้ะ สวัสดีครับ คือกัลซุสแนะนำให้มา」
「ฮะฮะฮะ งั้นเหรอ เชิญดูได้ตามใจชอบเลยนะ」
คุณป้าหัวเราะพลางพูดแบบนั้นแล้วกลับเข้าไปด้านใน
........แบบว่า ทิ้งกันแบบนี้แย่นะเนี่ย!?
อุปกรณ์ที่ตั้งเรียงอยู่โน่นชั้นไม่รู้จักเลยนะเฟ้ย!?
「ช่วยไม่ได้แฮะ.........ลองดูแล้วกัน」
ที่สินค้ามีชื่อกับป้ายราคาติดไว้กะจะให้จินตนาการว่าเป็นอุปกรณ์อะไรจากชื่องั้นเหรอ
แย่หน่อยก็ใช้สกิล『ตรวจสอบขั้นสูง』ดูเอาแล้วกัน
「อืมมม............นี่คือ?」
สิ่งที่พูดพลางหยิบมาชิ้นแรกคือลูกบอลสีขาวที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ส่วนราคาก็100G
「ราคาพอใช้ได้ แล้วชื่อล่ะ?」
พอตรวจดูชื่อ
『ลูกบอลธรรมดา』
「เฮ้ยเจ้าของร้านโว้ย!」
ลูกบอล!แถมยังธรรมดา!จะให้เอาไปทำอะไรฟะ!
ไม่สิ นี่อาจจะด่วนสรุปไป ถึงจะชื่อลูกบอลธรรมดาแต่อาจมีประสิทธิภาพอะไรอยู่ก็ได้
พอเตือนตัวเองอย่างนั้นแล้วก็เริ่มใช้สกิลดู
『ลูกบอลธรรมดา』.......ก็ลูกบอลธรรมดานั่นแหละ เอาไปเป็นของเล่นให้แมวก็ได้
หรือจะเอาไปปาให้มอนเตอร์สนใจก็ได้..........หวังว่านะ
「บัดซบ ลูกบอลธรรมดาของแท้............!」
ชั้นที่คาดหวังไปได้นี่งี่เง่าชะมัด!
พักหลังมานี่มีแต่เรื่องให้คาดหวังแล้วหลังหักเพียบเลยวุ้ย
ส่วนใหญ่ก็เป็นของ กัลซุสกับคุณเอลิส...............
อยู่ๆต้องมาตบมุขกับสินค้าจนเหนื่อยแต่ก็ปรับอารมส์ใหม่ได้ทันที
「งั้นไหนี่ล่ะ?」
ของที่หยุดในสายตาถัดมาคือไหที่มีบรรยากาศแปลกๆ
ยังไงดีล่ะ เคลือบทองซะด้วย
ไม่แน่อาจเป็นเครื่องมืออะไรสักอย่างก็ได้
ราคาก็น่าดูเหมือนกันตั้ง100,000Gแน่ะ มีค่าถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?
คราวนี้พอยืนยันชื่อเสร็จก็ใช้สกิลตรวจสอบ
『ไหแห่งความสุข』.......ไหที่จะกลายเป็นความสุขของผู้ซื้อ หากขายออกคนขายก็สุขเช่นกัน
「คุณตำรวจคร้าบบบบบบบบบบบบบ!」
ต้มตุ๋นคร้าบ!ตรงนี้มีคนขายของหลอกลวงอยู่คร้าบบบบบ!
ปล่อยให้มีร้านแบบนี้อยู่จะดีเหรอ!? แล้วยิ่งไปกว่านั้นคือกัลซุสมันแนะนำร้านพรรณนี้มาได้ไงฟะ!
ไอ้นั่นสินะ? เป็นการนั่งมองน้องใหม่ที่ไม่รู้อะไรเลยเจ็บปวด
แล้วมาสั่งสอนว่านี่เป็นบทเรียนอย่างนั้นเหรอ!? ต่อให้เป็นอย่างนั้นแต่สินค้าจะบัดซบไปมั้ย!
ดูท่าความน่าเชื่อถือของร้านนี้ทิ้งดิ่งลงดินเรียบร้อยแล้ว
แต่ถ้ามองรอบๆดูให้ดีๆก็มีสินค้าที่ถูกต้องอยู่ด้วยเหมือนกัน
อย่างเช่นสินค้าที่เขียนว่า『กระดาษต่างโลก』ที่ผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญมาโลกนี้ได้คิดค้น
สร้างกระดาษนี้ขึ้นถึงแม้คุณภาพจะไม่เท่าโลกเดิมแต่เมื่อเปรียบเทียบกับกระดาษหนังแล้ว
ก็ใช้ง่ายกว่ากันเยอะ
ส่วนราคาก็100แผ่นต่อ500G ก็ไม่รู้หรอกนะว่าถูกหรือแพงแต่ก็ไม่สุดขั้วเกินไปยังพอรับได้
อย่างอื่นก็ของที่สร้างด้วยไอเท็มชื่อหินเวทมนตร์เรียกว่า『กล้องวิถีเวท』
บางทีไอเดียของเจ้ากล้องนี่ก็คงได้จากผู้กล้าสักคนช่วยบอกให้อีกนั่นแหละ
ที่คนในกิลด์เอาไปใช้แอบถ่ายเป็นเจ้านี่รึเปล่าหว่า...............
ทั้งยังเจอสิ่งที่ชั้นไม่รู้จักมากมายแต่ก็ไม่ว่างพอจะมาไล่มองเอื่อยเฉื่อยอยู่แบบนี้
ชั้นเลยมองหาสิ่งที่ต้องการอีกครั้ง
และแล้วก็เจอของที่ต้องการโดยไม่ได้ลำบากอะไรเลย
「เจอแล้ว อืมมม............มีครกกับสาก แล้วก็ขวดเปล่า............ก่อนอื่นเอาสัก10ขวดแล้วกัน」
และเพื่อปลูกเมล็กวิวัฒนาการเลยต้องซื้อกระถาง บังรดน้ำกับถุงป่านไว้ใส่ดินไปด้วย
พอชั้นได้ของที่ต้องการแบบคร่าวๆแล้วก็เรียกคุณป้าที่อยู่ด้านใน
「ขอโทษคร้าบ คิดเงินด้วยคร้าบ?」
「โอ๊ะ? เลือกเสร็จแล้วเหรอ?」
「เอ่อ ก็ประมาณนั้นครับ」
ที่ตอบกลับไปได้ไม่เต็มคำเพราะได้รู้อะไรหลายๆอย่างของร้านนี้
แล้วชั้นก็ไม่ได้อยากจะพูดอะไรเป็นพิเศษด้วยเลยคิดเงินให้จบๆไป
รวมก็3000Gแต่ก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าถูกหรือแพง
เอาเถอะ เรื่องเงินตอนนี้ก็ไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อย
พอออกจากร้านแล้วทิวทัศน์อันคึกคักก็เข้าสู่สายตาของชั้นอีกครั้ง
「เอาล่ะ ต่อไปทำอะไรดีนะ?」
เอาตามตรงถึงจะมีไปซื้อม้าแต่นั่นก็เอาไว้ท้ายสุดอยู่แล้ว
ซื้อมาตอนนี้เกะกะเปล่าๆ
「ถ้างั้นก็ห้องสมุดล่ะนะ」
ถ้ามีทั้งเรื่องจอมมารเรื่องผู้กล้าแล้วยังหนังสือเวทมนตร์เลยอยากไปดูไว้
เมื่อได้ที่หมายถัดไปแล้วชั้นก็ยืนยันแผนที่ๆได้รับมาจากกัลซุสแล้วก้าวเดินไปยังห้องสมุด
◆◇◆
「โห............ใหญ่จัง」
นี่เป็นคำพูดแรกที่ออกจากปากชั้นเมื่อมาถึงห้องสมุด
อาคารตรงหน้าชั้นใหญ่ชนิดเทียบได้กับพิพิทธภัณฑ์ระดับโลก
มีทั้งกระจกสีใสทั้งหอนาฬิกาทอประกายให้กับเมืองอย่างสวยงาม
「นี่น่ะเหรอห้องสมุดหลวง」
ใหญ่ขนาดนี้ก็น่าจะมีหนังสือเวทมนตร์อยู่บ้างแหละ
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นก็ก้าวเท้าไปยังห้องสมุด ภาพที่เห็นข้างในก็ยังสวย
แถมมีชั้นหนังสืออยู่มากมายหนังสือก็มีใส่ไว้จนแน่นเอี๊ยด
ถึงจะไม่มีการเก็บค่าเข้าห้องสมุดแต่กลับกันก็ไม่มีการให้ยืมหนังสือออกไป
ดูท่าจะมีแต่หนังสือที่เปิดเผยได้ทั่วไปแฮะ
ซึ่งหนังสือแต่ละเล่มได้ลงเวทมนตร์กันขโมยไว้ทุกเล่ม ถ้าเกิดเอาออกจากห้องสมุดไปแม้ซักก้าวล่ะก็
หนังสือจะถูกวาร์ปกลับไปยังชั้นหนังสือที่อยู่เดิมทันที
เวทมนตร์นี่สุดยอดไปเลยแฮะ
ทว่าประชาสัมพันธ์ก็ไม่มีด้วยเพราะงั้นหากมีหนังสือที่อยากอ่านก็ต้องไปควานหากันเอาเอง
ชั้นก็เลยต้องมานั่งหาเองแต่หนังสือก็ดันเยอะเกินจนไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงดี
แต่ด้วยความพยายามในที่สุดก็หาหนังสือที่ต้องการเจอจนได้
ว่าแล้วชั้นก็แบกหนังสือพวกนั้นไปนั่งอ่านในที่นั่งของห้องสมุด
ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อยู่คนเดียวหรอกแต่ห้องสมุดมันกว้างซะจนเหมือนจองไว้อยู่คนเดียวเลย
「ดีล่ะ งั้นก็อ่านเล่มนี่อันแรกแล้วกัน」
หนังสือที่ชั้นเปิดออกพลางพูดคือ『จอมมารกับผู้กล้า』
ส่วนเนื้อหาข้างในก็ตรงตามชื่อทุกตัวอักษร
ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเนื้อหายากๆแบบในหนังสือประวัติศาสตร์เพราะเป็นเรื่องราวทำไว้สำหรับเด็ก
แต่ยังไงก็ต้องตรวจสอบดูเผื่อไว้ก่อน
...............แต่ก็นะ สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย
นั่นเพราะเนื้อหาข้างในตีความเข้าข้างมนุษย์ให้ดีจนเกินไปแน่นอนว่าเขียนให้เผ่าปีศาจเลวสุดขั้วด้วย
ที่ชั้นอยากได้มันต้องยุติธรรมกว่านี้ ต้องเป็นการเขียนโดยมุมมองจากบุคคลที่3
แต่เอาเถอะเดิมทีชั้นที่หาเรื่องอย่างนั้นเองแหละที่แปลก
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นก็หยิบหนังสือที่เขียนเรื่องเกี่ยวข้องกับผู้กล้าและจอมมารเล่มอื่นๆมาอ่าน
แต่ก็ไม่มีเนื้อหาที่ชั้นต้องการเขียนไว้เลย
ไม่ว่าหนังสือเล่มไหนก็มีแต่ จอมมารผิด ผู้กล้าถูกอยู่เรื่อยไป
แต่ไม่แน่นั่นอาจจะเป็นเนื้อหาที่ถูกต้องก็ได้
เพราะถ้าไม่ใช่ชั้นที่เคยอ่านอดีตของเทพมังกรดำมาแล้วอาจคิดอย่างนั้นไปเหมือนกัน
「ไม่ได้เรื่องเลยแฮะ...........」
เผลอบ่นอย่างนั้นออกมา
แต่ว่าในบรรดาพวกนั้นก็มีเรื่องนึงที่น่าสงสัยอยู่
ผู้กล้าที่เขียนอยู่ในประวัติศาสตร์สุดท้ายหลังจากที่ปราบจอมมารแล้ว
เขียนว่าทุกคนกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
สำหรับชั้นที่ได้อ่านไดอารี่ของผู้กล้าอาเบลเชื่อเรื่องพรรณนี้ไม่ได้หรอก
ถ้าเนื้อหาที่เขียนไว้ในไดอารี่เป็นของจริงล่ะก็เหล่าผู้กล้าต้องโดนประเทศทั้งหลายกำจัดไปแล้วแน่
「.......ประเทศที่อัญเชิญผู้กล้าคงไม่มีบันทึกไว้หรอกว่าที่ผู้กล้าตายเพราะถูกฆ่าอยู่แล้ว」
เกิดพวกผู้กล้าบังเอิญรู้บันทึกแบบนั้นล่ะก็ป่านนี้พวกเคนจิได้หนีกันไปแล้ว
ก็ใครมันจะไปอยู่ให้ถูกฆ่าล่ะ
「ช่วยไม่ได้............ตัดใจเรื่องจอมมารดีกว่า」
อย่างน้อยชั้นก็ได้รู้ว่าหนังสือข้อมูลเกี่ยวกับจอมมารและผู้กล้าเชื่อไม่ได้
「เอาเถอะ ปรับอารมส์ใหม่แล้วไปดูหนังสืออื่นดีกว่า」
หนังสือที่เปิดพลางพูดเล่มต่อมาคือหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับสเตตัสของพวกเรา
จนถึงตอนนี้ความรู้ที่ชั้นมีของสเตตัสก็ได้มาจากเกมกับการ์ตูนเท่านั้น
แต่ที่ตัวเองเข้าใจกับเนื้อหาโดยละเอียดอาจต่างกันก็ได้
เพราะงั้นเลยเลือกหนังสือเล่มนี้มาด้วย
แต่ว่าเนื้อหาที่เขียนไว้ก็แทบจะไม่ต่างกับที่ชั้นเข้าใจ
จะมีก็ตรงเสน่ห์ที่ต่างกับที่ชั้นเข้าใจอยู่เล็กน้อย
จนถึงตอนนี้ชั้นคิดว่าเสน่ห์คือสิ่งที่แสดงออกมาว่าหน้าตาดีอะไรแบบนี้
แน่นอนว่านั่นก็จริงอยู่แต่มันไม่ใช่แค่นั้น
อย่างเช่นบรรยากาศที่คนๆนั้นมีก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง
เพราะงั้นต่อให้หน้าตาแย่หากเป็นคนที่มีอะไรน่าดึงดูดล่ะก็เสน่ห์ของคนๆนั้นก็สูงได้เช่นกัน
จะบอกว่าคุณสมบัติทางร่างกายมีส่วนเกี่ยวข้องกับค่าเสน่ห์นี้ด้วยก็ได้
...........เอ๊ะ? งั้นค่าเสน่ห์ที่เป็นช่องว่างของชั้นนี่ตกลงมันหมายความว่ายังไง?
จะบอกว่าไม่มีองค์ประกอบอะไรเลยที่ดึงดูดผู้คนเลยอะไรแบบนี้?
สลดไปนิดๆแต่ก็ฟื้นตัวกลับมาได้ทันที
นั่นก็เพราะหนังสือที่อ่านคราวนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์ ไม่ใช่ว่าไม่กังวลเรื่องเมื่อกี้หรอกนะ
มีชื่อเรื่องชวนตื่นเต้นอย่าง『การใช้เวทมนตร์ต้อง?』แบบนี้อยู่ด้วย
พออ่านไปเรื่อยๆก็เป็นคำอธิบายเกี่ยวกับเวทมนตร์อะไรทำนองนี้
สรุปให้ง่ายๆคือเวทมนตร์เป็นการใช้พลังงานที่เรียกว่าพลังเวท
ซึ่งเป็นพลังที่สามารถแทรกแซงโลกได้โดยตรง..............ประมาณนี้
เงื่อนไขในการใช้เวทมนตร์นั้นจำเป็นต้องมีพลังเวทและพลังจินตนาการ
และเพื่อเป็นกำหนดจินตนาการนั้นให้ง่ายจึงมีสิ่งที่เรียกว่าคำร่าย
ซึ่งจอมเวทที่มีเทคนิคละคำร่ายหรือไม่ร่ายจะเป็นจอมเวทชั้นสูง
ที่สามารถจินตนาการสิ่งนั้นออกมาได้เลย
.......แปลกจังแฮะ? ชั้นไม่ได้จินตนาการอะไรสักนิดยังใช้เวทได้เลยนี่นา
ตอนสู้กับซาเรียยังทำน้ำเป็นถังหล่นใส่หัวตัวเองจนต้องอับอายเลยด้วย?
แถมเป็นเวทแบบไหนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
บางทีสาเหตุที่ชั้นใช้เวทมนตร์ได้เพราะได้มาตอนที่เรียนรู้เรียบร้อยแล้ว
กระบวนการที่ต้องใช้จินตนาการเลยไม่จำเป็น.............อุหวา
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นอยู่ก็มีเสียงเรียบๆดังขึ้นในหัวกะทันหัน
『สกิล≪ไม่ร่าย≫ได้เรียนรู้แล้ว』
.................
「............ฟู่~...............」
ทำไปได้...................
สมกับที่ได้ฉายาไม่รู้จักยับยั้งตัวเอง ขนาดชั้นยังไม่รู้อะไรอยู่ดีๆก็ได้สกิลชั้นยอดมาเฉยเลย..........
ที่ป้อมตำรวจจะมีลิมิตของตัวเองมาส่งบ้างมั้ยน้า..............
ชั้นมองไปไกลๆพลางคิดเรื่องซีเรียสแบบนั้นให้เป็นเรื่องเล่นๆ
แต่ชั้นก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปแล้วเลยทำใจได้เร็วพอสมควร
หลังจากนั้นชั้นก็อ่านหนังสือเวทที่แยกไว้ตามแต่ละธาตุ ระดับชั้นต้นไปสูงไปจนถึงสูงสุด
แล้วก็ไม่มีหนังสือเวทธาตุชำระล้างอย่างที่คิด
แต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับธาตุมิติด้วย
ก็ขนาดไอเท็มบ็อกยังมีหนังสือก็น่าจะมีนี่นา
เพราะงั้นหนังสือธาตุที่ชั้นได้อ่านเลยเป็นธาตุพื้นฐานพวกดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า น้ำแข็ง แสง มืด
หนังสือที่ลองอ่านก่อนเลยก็เป็นหนังสือเวทธาตุไฟ น้ำ ดินและมืด
ซึ่งทุกเวทที่เขียนไว้ก็เหมือนกับพวกเวทที่ชั้นรู้มา
เพราะงั้นตอนที่อ่านหนังสือธาตุพวกนั้นเสร็จ ชั้นก็เข้าใจเวทที่ตัวเองใช้ได้เป็นอย่างดีทั้งหมด
ยกเว้นเวทมิติอ่ะนะ
「ดีล่ะ เท่านี้ก็ไม่มีสภาพเหมือนตอนใช้เวทครั้งแรกอีกแล้ว」
จนถึงตอนนี้ได้แต่รู้ว่ากินพลังเวทแค่ไหน คราวนี้มีเขียนอานุภาพและประสิทธิภาพไว้ด้วย
แต่เวทที่ชั้นใช้อานุภาพมันก็ดันต่างกันเกินจนตรงส่วนนี้หวังพึ่งไม่ได้นี่สิ.............
เพราะงั้นพอชั้นอ่านหนังสือเวทธาตุไฟ น้ำ ดิน มืดเสร็จ
ก็ไปอ่านหนังสือเวทธาตุลม สายฟ้า น้ำแข็ง แสงและไร้ธาตุที่เหลือต่อ
แม้ตอนนี้จะใช้ไม่ได้แต่ซักวันเกิดใช้ได้ขึ้นมาหรือไม่ก็ศัตรูใช้ธาตุนั้นๆจะได้รับมือได้ถูก
ไฟกับน้ำมีเวทพลังโจมตีสูงอยู่เยอะแต่ลมกับสายฟ้าไม่ว่าอันไหนก็ต้องประยุกต์ใช้
แต่มีประสิทธิภาพรอบด้านและถ้าพูดถึงตรงจุดนั้นแล้วธาตุลมกับดินจะใช้ง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวทไร้ธาตุการประยุกต์ใช้จะกว้างมาก
มีทั้งทำให้ร่างกายแกร่งขึ้น ทำให้สิ่งของลอยได้ ใช้โจมตีตรงๆเลยก็มีไม่น้อย
ทำให้ชั้นรู้สึกเลยว่าความเจ๋งมันขึ้นอยู่กับวิธีใช้
ยังไงก็ตามแต่ชั้นก็ได้อ่านหนังสือเวทธาตุทั้งหมดเรียบร้อย
ซึ่งการใช้เวลาจนอ่านจบก็เร็วซะจนเทียบไม่ได้เลยกับตอนที่ชั้นอยู่โลกเดิม
นี่ก็เป็นผลจากการวิวัฒนาการด้วยงั้นเหรอ?
「ฟู่..........จบซะที!」
แล้วทันทีที่ยืดหลังพลางพูดออกมานั่นเอง
『【เวทไร้ธาตุขั้นสูงสุด】ได้เรียนรู้แล้ว【เวทธาตุลมขั้นสูงสุด】ได้เรียนรู้แล้ว
【เวทธาตุสายฟ้าขั้นสูงสุด】ได้เรียนรู้แล้ว【เวทธาตุน้ำแข็งขั้นสูงสุด】ได้เรียนรู้แล้ว
【เวทธาตุแสงขั้นสูงสุด】ได้เรียนรู้แล้ว ฉายา【สุดยอดผู้ใช้เวท】ได้เรียนรู้แล้ว
ยืนยันสถานะการเรียนรู้เวทธาตุทั้งหมดขั้นสูงสุด
ด้วยเหตุนี้สกิล【ผสานเวท】【พัฒนายิ่งยวด】【ประดิษฐ์เวท】
【ประสิทธิเวทขั้นสูงสุด】【วงเวทขั้นสูงสุด】ได้เรียนรู้แล้ว』
เสียงอันไร้ความเมตตาก็ได้ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง
「...............」
แปลกจังน้า ทำไมถึงห้ามน้ำตาอันขมขื่นนี้ไม่ได้ก็ไม่รู้?
แบบว่า..........เนอะ? แปลกจังเนอะ? ชั้นทำแค่อ่านหนังสือเอง? แล้วนี่มันอะไรอ่ะ?
หรือว่าให้ชั้นแค่อ่านหนังสือเฉยๆก็ไม่ได้? ทุกครั้งที่อ่านต้องมีแนวๆนี้ออกมา?
คำสาปเหรอไงฟะ?
แม้ชั้นจะตบมุขจนแทบไม่เหลือกำลังใจแล้วก็ยังพยายามฝืนกำลังใจอันน้อยนิดนั้น
ยืนยันเวทกับสกิลที่ได้เรียนรู้มา
แต่ว่าเวทธาตุไฟไปจนถึงไร้ธาตุต่อให้ไม่ต้องตรวจสอบก็รู้เลยไปตรวจสอบที่เหลือแทน
『ไม่ร่าย』.......แม้ไม่ร่ายก็สามารถใช้เวทได้
『สุดยอดผู้ใช้เวท』.......ฉายาที่มอบให้กับผู้ที่ชำนาญในการใช้เวททุกธาตุ
พลังโจมตีของเวทมนตร์เพิ่มเป็น2เท่า
『ผสานเวท』.......สามารถผสานเวทของธาตุที่เหมือนหรือต่างกันให้ออกมาเป็นเวทที่ทรงพลังได้
『พัฒนายิ่งยวด』.......สามารถใช้เวทจำนวนมากออกมาพร้อมกันโดยไม่ถูกผูกมัดด้วยธาตุได้
『ประดิษฐ์เวท』.......แม้จนถึงตอนนี้จะทำไม่ได้แต่ตอนนี้สามารถสร้างเวทเฉพาะของตัวเองได้แล้ว
หลังจากที่สร้างไปแล้วจึงสามารถใช้แบบไม่ร่ายได้ ก่อนหน้าจะสร้างจำเป็นต้องกำหนดภาพให้ชัดเจน
และต้องกำหนดชื่อเอาไว้ด้วย
『ประสิทธิเวทขั้นสูงสุด』.......สามารถประสิทธิเวทลงไปในดาบหรือเครื่องประดับได้
『วงเวทขั้นสูงสุด』.......เมื่อใช้วงเวทจะสามารถใช้กับเวทที่ทรงพลังได้
「ไม่ไหวแล้ว รับไม่ได้แล้ว..............!」
ตอนนี้ผมได้ออกห่างจากความเป็นมนุษย์ไปอีกแล้วครับ
◆◇◆
「..............」
ชั้นออกจากห้องสมุดด้วยความเหนื่อยใจ
เอาไงดีชั้นควรตั้งเป้าเป็นอะไรดี? ผู้กล้า? หรือจอมมาร? ตอนนี้ไม่ว่าอันไหนก็รู้สึกว่าเป็นได้ทั้งนั้นแล้ว
อารมส์ประมาณแค่เดินไปร้านสะดวกซื้อเลยนะ ฮะฮ่า ของแค่นี้หมูๆ
ขณะที่เดินไปในเมืองด้วยอารมส์แห้งๆอย่างนั้นเผลอแป๊ปเดียวก็มาถึงสถานที่ๆเป็นลานกว้าง
「...........อืมมม คึกคักดีจัง」
ตรงกลางเป็นน้ำพุที่ทำงานด้วยพลังของเวทอะไรสักอย่างโดยมีแผนลอยตั้งเรียงกันเป็นทิว
มีร้านที่มีกลิ่นหอมอร่อยโชยออกมาหรือไม่ก็เป็นคนขายภาพวาดที่จัดแสดงจนเด่นสะดุดตา
โดยมีคนมากมายไปจับจ่ายใช้สอยกัน
「จะว่าไปยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยนี่นา」
เพราะอยู่ในห้องสมุดตลอดเลยไม่รู้เวลาพอรู้ตัวอีกทีก็เลยเที่ยงไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะชั้นมัวแต่อ่านหนังสือซะเยอะจนเกือบเลยข้าวเที่ยงได้นี่ชักจะผิดปกติแล้วแฮะ
「ยังไงก็ตามแต่ลานกล้างที่มีคนเยอะขนาดนี้ไม่รู้สึกอยากกินอยู่ดีแหละ...........」
อารมส์ของชั้นตอนนี้แทนที่จะไปกินในลานที่แออัดอยากไปกินในร้านเงียบๆแทนมากกว่า
ขณะที่คิดอย่างนั้นพลางเดินไปตามลานกว้างก็ได้บังเอิญไปเจอร้านที่สะดุดตาอยู่ร้านนึง
ไม่ได้ตั้งเป็นแผงลอยแบบแข็งแรงเช่นเดียวกับร้านอื่นๆแถมลูกค้าสักคนก็ไม่มี
ทำแค่ปูผ้าด้านหน้าแล้วเอาภาพวาดมาวางขายเท่านั้น
ตอนชั้นอยู่โลกเดิมก็ไม่ได้เป็นคนที่มีหัวใจศิลปะอะไรหรอก
แต่ไม่รู้ทำไมขาชั้นถึงก้าวไปที่ร้านนี้เอง
ซึ่งร้านนี้มีเด็กผู้หญิงนั่งอยู่คนเดียวแถมยังเป็นสาวหูหมาซะด้วย บางทีคงเป็นเจ้าของร้านนั่นแหละ
อยากลองจับหูจังเลย..................
แม้จะอายุน้อยกว่าชั้นนิดหน่อยแถมหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูแต่ตอนนี้สีหน้าห่อเหี่ยวมากเลย
พอชั้นไปถึงหน้าร้านเด็กสาวก็เงยหน้าขึ้น
「อ้ะ.........ย ยินดีต้อนรับค่ะ!」
ทันใดนั้นสีหน้าที่ห่อเหี่ยวก็หายไปพลันทักทายมาอย่างร่าเริง
เลยสังเกตุสภาพของเด็กผู้หญิงคนนี้ไปพลางมองดูภาพที่เป็นสินค้าไปด้วย
「!」
นี่มัน.................
ชั้นรู้สึกถึงเสน่ห์ของภาพวาดที่ตั้งเรียงรายโดยไม่รู้ตัว
ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรฉูดฉาด ไม่ได้มีสไตล์การวาดที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด
ถ้าให้พูดตามตรงคือไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากนักแต่ภาพวาดที่เรียงรายอยู่ทั้งหมดดูมีเสน่ห์สำหรับชั้น
ภาพนกดื่มน้ำ ภาพคนพูดคุยกัน ภาพเมืองที่ถูกย้อมด้วยอาทิตย์ตกดิน ภาพท้องฟ้ายามค่ำคืน.........
ไม่ว่าอันไหนเป็นภาพวาดที่มีหัวข้อธรรมดาทั่วไปในกิจวัตรประจำวันทั้งนั้น
ตอนมาแถวนี้ตรงที่ๆมีคนขายภาพวาดเด่นสะดุดตาตรงนั้นก็จะมีคนยืนออกันอยู่เยอะแยะ
แต่ตรงนี้กลับไม่มีเลยสักคนเดียว
จุดนี้แหละที่ทำให้ชั้นรู้สึกแปลกใจ
ก็ภาพวาดที่เด่นสะดุดตาที่ว่านั่นแบบว่า............ เอ๊ะ ภาพวาดอะไรฟะเนี่ยอะไรแบบนี้
แม้ปิกัซโซ่บรรจงวาดภาพเป็นอย่างดีจนวาดภาพที่มีเอกลักษณ์ออกมา
ทำให้ผู้คนมากมายซาบซึ้งแต่สำหรับชั้นภาพพวกนั้นไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย
เอาเถอะ ภาพวาดแบบปิกัซโซ่มันก็ต้องเจ๋งอยู่แล้วแหละเพราะแม้แต่ตำราเรียนยังมีให้เห็นเลย
แถมเดิมทีชั้นมันก็ไม่ได้มีหัวศิลป์อะไรเพราะงั้นคงพูดอะไรไม่ได้หรอก
「ทั้งหมดนี่เธอเป็นคนวาดเองเหรอ?」
ถามไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทันใดนั้นเด็กสาวที่จู่ๆถูกถามก็สะดุ้งขึ้นมาแต่หลังจากเปิดตาขึ้นมานิดหน่อย
ก็ตอบกลับมาว่า「ค่ะ!」ทันที
สุดยอด..............ขนาดชั้นยังวาดไม่ได้เลยนะเนี่ย ทั้งที่อายุน้อยกว่าชั้น...........
ยังไงก็ตามแต่ชั้นก็รู้สึกซาบซึ้งในภาพวาดของเด็กสาวคนนี้
ตั้งแต่มาที่โลกนี้ก็พึ่งจะสนใจภาพวาดนี่แหละ...........งั้นซื้อไปสักภาพแล้วกัน
คิดอย่างนั้นแล้วชั้นก็ตัดสินใจซื้อภาพเมืองที่ถูกย้อมด้วยอาทิตย์ตกดินที่โดนใจที่สุด
「ภาพนี้เท่าไรเหรอ?」
「เอ๋? เอ่อ.........1000Gค่ะ」
อือออ.................ก็ภาพวาดนี่นะ จะแพงกว่าท้องตลาดก็ไม่รู้ แพงไป? หรือถูกไปน้า?
แต่จะอันไหนยังไงก็ซื้อเพราะชอบอยู่แล้ว จะสักเท่าไรก็ไม่คิดเสียดายหรอก
「งั้น ขอภาพนี้ด้วยครับ」
「ข..........ข ขอบพระคุณมากค่ะ!」
เด็กสาวรับเงิน1000Gจากชั้นด้วยอารมส์พุ่งสุดขีดแล้วบรรจงห่อภาพวาดให้
คราวนี้ก็ต้องไปซื้อกรอบรูปไว้แล้วสิ
ขณะที่คิดอย่างนั้นอยู่ภาพวาดก็ห่อเสร็จเรียบร้อยส่งมาให้ชั้น
「ขอบใจนะ」
พอรับภาพมาชั้นก็เก็บใส่ในไอเท็มบ็อกทันที ก็ไม่อยากให้มีรอยนี่นา
「ข ขอบพระคุณมากค่ะ!」
ตอนกำลังออกจากร้านไปเด็กสาวก็ยังยืนขึ้นแล้วโค้งตามให้ด้วย
ดีใจสุดเลยแฮะแค่ขายออกเนี่ยนะ? ทั้งที่ภาพก็ดีแท้ๆ
ยังไงชั้นก็ไม่รู้สาเหตุอยู่ดีเลยไปหาร้านที่นั่งพักได้ต่อ
◆◇◆
「ไม่มีเลยแฮะ.............」
พอออกจากลานกว้างมาชั้นก็หาร้านที่นั่งพักได้ต่อ
แต่ร้านที่อยู่ตามถนนไม่ว่าร้านไหนก็มีลูกค้าเยอะ ที่ไม่เยอะก็นั่งเรื่อยเปื่อยไม่ได้
ช่วงกลางวันก็งี้แหละ
เพราะหาไม่เจอสักทีชั้นก็เลยลองไปแถวย่านเล็กๆที่คนน้อยดู
ที่นั่นก็ไม่อยากนึกถึงหรอกนะเพราะเป็นที่ๆโดนพวกโฮโมสุดสะพรึงจู่โจมใส่ตอนเข้ากิลด์
แต่เพราะแถวนั้นไม่ค่อยมีคนถ้าตั้งต้นหาจากแถวนั้นก็ต้องเจอซักร้านแหละ
และที่คาดไม่ถึงเลยคือได้เจอร้านแบบสบายๆที่มีคนน้อยจริงๆด้วย
「『ร้านกาแฟอัสคอเรี่ยน』เหรอ.........」
..............อัสคอเรี่ยนเนี่ยอะไรกัน? ของกินแบบใหม่เหรอ?
คิดไร้สาระแบบนั้นไปพลางชั้นก็เข้าไปในร้าน
ที่บานประตูติดกระดิ่งส่งเสียงดึงดูดสายตา ร้านมืดนิดๆให้บรรยากาศอึมครึม
มีที่เหมือนบาร์เคาน์เตอร์ซึ่งตรงนั้นมีชายสูงอายุตีหน้านิ่งแต่งตัวเหมือนบาร์เทนเดอร์ยืนอยู่
..........ร้านกาแฟจริงๆใช่มะ? คงไม่ใช่บาร์นะ? ชั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะซะด้วยสิ..........
ระหว่างที่รู้สึกกดดันกับบรรยากาศภายในร้าน ลูกค้าที่มีคนเดียวนอกจากชั้น
ก็สังเกตุเห็นชั้นเลยส่งเสียงเรียก
「หือ? นี่นายน่ะ อย่ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นลองเข้ามาก่อนสิ?」
「เอ๋? อะ ครับ..........」
ชั้นดันตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัวแล้วตรงเข้าไปที่บาร์เคาน์เตอร์ทั้งอย่างนั้น
และแล้วชั้นก็ได้เห็นใบหน้าของลูกค้าที่ส่งเสียงเรียก
「พึ่งเคยเห็นหน้า นายน่ะนักผจญภัยเหรอ?」
ชายที่ถามมามีผมสีทองสวยตั้งฟูใส่เสื้อผ้าแบบที่คนของโลกนี้ใส่กันทั่วไป
เท่าที่เห็นดูอายุประมาณ40แต่ใบหน้าดูเป็นคุณลุงมาดเท่ห์ชะมัด
「เอ่อ พึ่งเป็นนักผจญภัยอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้เองครับ」
「งั้นเหรอ ข้ารันเซ่ แต่ก็แค่ชาวเมืองธรรมดาๆเท่านั้นแหละ ฝากตัวด้วยนะ」
「อ้ะ ขอบคุณครับ เรียกผมว่าเซอิจิก็ได้ครับ」
「เซอิจิ? อย่างนี้นี่เอง ฟังจากชื่อแล้วบ้านเกิดอยู่ประเทศตะวันออกสินะ
ถ้างั้นค่อยเข้าใจสภาพที่เห็นนี่ขึ้นมาหน่อย」
「งั้นเหรอครับ?」
ว่าแต่ที่นี่ก็มีประเทศตะวันออกด้วยเหรอ แต่คุณอโดเรียน่าเองก็พูดแนวๆนี้เหมือนกันนี่นา..........
เพราะเดาที่ชั้นคิดในใจได้รึเปล่านะคุณรันเซ่เลยพูดด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ
「หา? ถ้าพูดถึงประเทศตะวันออกก็ต้องเรื่องที่ขึ้นชื่อว่ามีนักรบที่แข็งแกร่งมากมายไม่ใช่เหรอไง
อีกอย่างฉายา『คมดาบสวรรค์』ก็ดังไปทั่วทั้งทวีปเลยนา?
ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่าผู้กล้าที่อาณาจักรไคเซอร์อัญเชิญมาก็มีผมเกือบดำคล้ายกันอยู่เยอะ..........
เพราะอย่างนั้นเพื่อไม่ให้บ้านเกิดถูกดึงไปพัวพันกับปัญหายุ่งยากสารพัด
เลยจงใจแต่งตัวอย่างนั้นไม่ใช่เหรอไง? หรือว่านายไม่ใช่พวกนั้น?」
「บ แบบนั้นนั่นแหละครับ!ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า」
เฮ้ยคุณประเทศตะวันออก!ทำไมต้องทำอะไรโคตรยุ่งยากแบบนั้นด้วยฟะ?
ยิ่งกว่านั้นเรื่องนักรบแข็งแกร่งมากมายนี่...........เป็นชนเผ่าสงครามที่ไหนเหรอไง!?
ก่อนอื่นเลย『คมดาบสวรรค์』นี่มันอะไรฟะ!?
อ เอาเถอะ เรื่องผมเกือบดำนี่เกิดความแตกตอนนี้ก็จะได้แถว่ามาจากประเทศตะวันออก
แทนโลกเดียวกับผู้กล้าก็คงได้
ระหว่างที่ยิ้มแห้งๆปั้นหน้ากลบเกลื่อนสุดชีวิตจู่ๆตรงหน้าชั้นก็มีเค้กกับชามาวาง
พอหันหน้าไปทางคนที่เหมือนบาร์เทนเดอร์ด้วยความประหลาดใจ เขาก็เอ่ยอย่างเงียบๆ
「..........เป็นบริการให้ลูกค้าที่มาเป็นครั้งแรกครับ」
เสียงหล่อสุดๆ!เล่นเอาเคลิ้มไปเลยนะเนี่ย!?
ด้วยเสียงทุ้มต่ำ ค่อยแต่ก้องกังวาลแค่ได้ฟังก็รู้สึกสบายใจอย่างเหลือเชื่อ
ขอรับบริการนี้เลยแล้วกัน
ทันใดนั้นเพราะสนุกกับปฏิกิริยาตอบกลับของชั้นล่ะมั้งคุณรันเซ่เลยหัวเราะแล้วพูด
「ฮ่าฮ่าฮ่า!หมอนี่มันเจ้าของร้านนี้ชื่อโนอาสน่ะ」
「......โนอาสครับ ต่อจากนี้ไปขอฝากตัวด้วยครับ」
「อ้ะ ท ทางนี้ก็เช่นกันครับ!」
คุณโนอาสหลังจากโค้งให้อย่างสวยงามจนน่าตกใจแล้วก็เริ่มเช็ดจาน
............เหมือนบาร์เทนเดอร์จริงๆนั่นแหละ...........
ขณะที่คิดอย่างนั้นอยู่ก็ลองกินเค้กตรงหน้าดู
「หืม!?」
น นี่มันอะไรกัน อร่อยสุดๆไปเลย!?
คิดว่าต่างโลกนี่คงจะไม่มีรสชาติที่ละเอียดอ่อนซะอีกแต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย
นุ่มฟู ครีมหวานกลมกล่อม ผลไม้ที่วางข้างบนก็เปรี้ยวๆหวานๆเข้ากันได้ดี
แบบนี้มีเท่าไรก็กินได้หมด
แล้วคุณโนอาสก็อธิบายอย่างสุภาพให้ชั้นที่กำลังประหลาดใจฟัง
「...........เค้กชิ้นนี้ทำจากสูตรที่ได้จากผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญจากต่างโลกนำมาดัดแปลง
ส่วนชานั้นถึงยังไม่ค่อยเข้าใจแต่ด้วยรสชาติที่เข้มข้นเลยนำใบเรนเดลที่มีกลิ่นหอมสดชื่นมาใช้ครับ」
อือ ก็ไม่รู้จักเรนเดลหรอกนะแต่รู้ว่าคุณโนดาสนี่เก่งจัง
ก็ถึงขนาดเอาสูตรที่ผู้กล้านำเข้ามาทำเค้กที่อร่อยขนาดนี้ได้
นอกจากนั้นตามที่พูดมาคุณโนอาสยังทำชาที่มีกลิ่นหอมสดชื่น
แถมรสชาติเฉพาะตัวที่เข้มนิดหน่อยได้นี่ยอดฝีมือชัดๆ
「ทำไมทั้งที่อร่อยขนาดนี้ยังมีลูกค้าน้อยได้ล่ะครับ?」
แม้จะรู้ว่าเสียมารยาทแต่ก็อดถามไม่ได้
แต่แล้วไม่รู้ทำไมคุณรันเซ่กลับตอบแทนไม่ใช่คุณโนอาส
「เรื่องนั้นอย่างนึงก็เพราะที่ตั้งมันมีคนผ่านไปมาน้อย
อีกอย่างเจ้าตัวโนอาสเองก็ไม่ได้ต้องการลูกค้ามากขนาดนั้นด้วย ใช่มะ?」
「.......ครับ เพราะผมอยากให้ลูกค้าที่มาได้ใช้ร้านนี้เป็นที่สงบใจครับ」
「ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ อีกอย่างถึงข้าจะเป็นลูกค้าคนนึงในจำนวนน้อยนิด
แต่ในบรรดาคนอื่นๆเองก็ไม่ได้ไปบอกเรื่องของที่นี่ให้ใครฟังด้วย
เรียกอีกอย่างว่าอยากเก็บร้านขึ้นชื่อไว้ให้แค่ตัวเองรู้เท่านั้นไงล่ะ」
「อย่างนี้นี่เอง............」
ความรู้สึกนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหรอกนะ มีแค่ตัวเองรู้มันให้ความรู้สึกเหนือกว่าพอตัวนี่นา
ชั้นที่เข้าใจนิดๆก็ถามคุณโนอาสเรื่องน่าสงสัยที่นึกขึ้นได้
「งั้นชื่อ『อัสคอเรี่ยน』มันหมายความว่าอะไรเหรอครับ」
「โอ้ เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้ซะด้วย โนอาสมันคืออะไรเหรอ? 」
คุณรันเซ่เองก็ไม่รู้เลยถามตามชั้น
แล้วคุณโนอาสก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนบอกให้
「...........ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ」
「「อย่าบอกนะว่าไม่มีเหตุผล!?」」
พอพวกเราประสานเสียงหันเสร็จ คุณโนอาสก็พูดต่อ
「......ทำไมตอนที่ผมตั้งร้านถึงได้มีชื่อนี้ลอยขึ้นมาก็ไม่รู้ครับ
แม้แต่ตอนนี้ยังไม่รู้เลยแต่เพราะฟังดูดีเลยไม่ใส่ใจเท่าไร」
「งั้นเหรอครับ............」
「อืมมมมม.............เอาเถอะ ถ้าฟังดูน่าสนใจ ความหมายก็ช่างมันเถอะ.........」
พอฟังคำตอบของพวกเราคุณโนอาสก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อีกครั้ง