ตอนที่ 31 ในแต่ละที่
「คุณอัลโทเรียไปไหนนะ?」
เพื่อไล่ตามคุณอัลโทเรียที่ออกมาจากกิลด์ชั้นเลยตามออกมาข้างนอก
แต่คุณอัลโทเรียก็หายไปซะแล้ว
「.........คนเยอะแบบนี้ต่อให้อยู่ใกล้ๆก็หาไม่เจออยู่ดี...........」
เมืองหลวงเทลเวลคนเยอะเกินคาด
เพราะงั้นถ้าหลงกันครั้งนึงล่ะก็ไม่มีทางเจอกันได้ง่ายๆแน่
「จริงสิ!มีสกิล『ค้นหาศัตรู』อยู่ไม่ใช่เหรอ」
ในบรรดาสกิลที่ชั้นเรียนรู้มาสกิล『ค้นหาศัตรู』นั้นสามารถรับรู้ถึงสิ่งมีชีวิตในระยะ500เมตรได้
เมื่อรู้แบบนี้ต้องรีบใช้ดูหน่อยแล้ว
ชั้นเลยใช้สกิล『ค้นหาศัตรู』ทันที
จากนั้น---------ก็เล่นเอาทรุดเลย
ชั้นนี่มัน...........ทำไมเรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้
สกิลค้นหาศัตรูแน่นอนว่ามันสามารถใช้ค้นหาตัวสิ่งมีชีวิตได้
แต่ว่า............
「มันใช้ค้นหาเฉพาะเจาะจงตัวบุคคลไม่ได้เฟ้ย บ้าเอ๊ย..............!」
ผลจากที่ชั้นใช้สกิลค้นหาศัตรูคือมีสัญญาณตอบกลับถึงทุกชีวิตที่อยู่ในรัสมี500เมตรทั้งหมด
แถมเยอะจนปวดหัวเลยด้วย
「งั้นอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าไปไหนน่ะสิ」
เอาเถอะ ไปไล่ถามคนเอาก็ได้
อดีตของเทพมังกรดำก็เห็นๆอยู่ ....................การติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องที่สำคัญ!
ชั้นเลยเข้าไปพูดคุยกับผู้หญิงที่บังเอิญผ่านมาใกล้ๆ
「ขอโทษครับ!ขอรบกวนเดี๋ยวนึงได้มั้ยครับ? คือกำลังหาคนอยู่............」
「ได้ค่ะ ไม่เป็นไร ...............เอ๊ะ แหม? คุณเซอิจิไม่ใช่เหรอคะ」
「เอ๋? ...........ค คุณอโดเรียน่า!?」
ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ อีกฝ่ายที่ชั้นเข้าไปคุยด้วยคือ คุณอโดเรียร่าที่เป็นเคาน์เตรส
ที่เลี้ยงหมาป่าแต่ดันเรียกว่าหมาแทน โลกกลมดีแท้
「มีอะไรเหรอคะ? ตามหาคนที่ว่านี่...........」
「เอ่อคือ.............พอดีกำลังหาคุณอัลโทเรียอยู่..............ไม่ทราบว่าพอจะเห็นมั้ยครับ?」
「เอ๋? อัลโทเรียจังเหรอ? อืมม........ไม่เห็นเลยนะ」
「งั้นเหรอครับ............」
「ขอโทษด้วยนะคะ? ที่ช่วยอะไรไม่ได้..........」
「อ้ะ ไม่หรอกครับ!เอ่อ...........ขอบคุณมากนะครับ」
「ไม่เป็นไรค่ะ」
พูดไปพลางโค้งให้คุณอโดเรียน่าแล้วแยกตัวออกมา
แต่คุณอโดยเรียน่าเหมือนจะนึกอะไรออกเลยเรียกชั้นไว้
「อ้ะ จริงสิ คุณเซอิจิ」
「ครับ?」
「สภาพที่อัลโทเรียจังเป็นอยู่........ไม่ทราบว่ารู้หรือยังคะ?」
「ครับก็พอรู้...........」
「งั้นขออะไรอย่างนึงได้มั้ยคะ?」
「เอ๋?」
ชั้นส่งเสียงสับสนออกมาเพราะคำขอที่กะทันหันแต่คุณอโดเรียน่าก็ยิ้มแล้วพูดต่อ
「จากนี้ไปก็ช่วยคบหากับอัลโทเรียจังต่อไปได้มั้ยคะ?
อัลโทเรียจังถึงเห็นอย่างนั้นแต่ก็เป็นคนที่อ่อนไหวเป็นอย่างมากทั้งยังเป็นเด็กดีด้วย」
「สำหรับเรื่องนั้น...........รู้อยู่นานแล้วครับ」
「เพราะงั้นแม้สักนิดก็ยังดี อยากให้ช่วยอยู่เคียงข้างอัลโทเรียจังบ้างน่ะคะ」
「อยู่เคียงข้าง?」
เอียงคอให้เพราะว่าไม่เข้าใจความหมายของคำพูดของคุณอโดเรียน่า
ทันใดนั้น คุณอโดเรียน่าก็หัวเราะในแบบผู้ดีและพูดต่อ
「ต่อให้ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่แค่นิดเดียวก็ยังดีอยากให้คุณเซอิจิเอาใจใส่อัลโทเรียจัง
เหมือนกับที่ตามหาอัลโทเรียจังตอนนี้อยู่ก็พอแล้วค่ะ」
「........ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะครับแต่ คุณอัลโทเรียเป็นคนสำคัญสำหรับผมอยู่แล้ว
เพราะงั้น...............」
พอพูดถึงตรงนั้นคุณอโดเรียน่าก็ยิ้มมากขึ้นไปอีกแล้วพูดแทรกชั้น
「ถ้างั้นคงไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว เอาล่ะ ไปหาอัลโทเรียจังให้เจอนะคะ? คุณเจ้าชาย」
「เจ้าชายนี่แบบว่า..............」
ยิ้มแห้งๆกับคำพูดของคุณอโดเรียน่าโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นก็แยกกับคุณอโดเรียน่าทันทีเพื่อตามหาคุณอัลโทเรียอีกครั้ง
「ไปถามใครสักคนอีกครั้งดีมั้ยนะ..........」
แล้วตอนที่เริ่มคิดนั่นเอง
ชั้นก็นึกถึงไอเท็มสุดสะดวกเหมาะกับสถานการณ์นี้ขึ้นมาได้
「ก็มีอยู่ไม่ใช่เหรอ..........『หินเข็มทิศ』น่ะ!」
สิ่งที่เอาออกมาจากไอเท็มบ็อกคือหินเข็มทิศสีเงิน
ตอนดันเจี้ยนเทพมังกรดำเพราะเป็นสถานที่ปิดและพื้นที่มีความซับซ้อนเลยใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้
............แต่ก็นะคนที่พังกำแพงที่ขวางอยู่ซะราบมันก็ชั้นเองนั่นแหละ!
แต่ตอนนี้เป็นข้างนอก
แค่รู้ทิศทางก็ตามไปจากบนหลังคาบ้านได้แล้ว!
ว่าแล้วหินเข็มทิศก็ลอยขึ้นเพื่อตรวจสอบทิศทางของคุณอัลโทเรีย
ทันใดนั้นหินเข็มทิศก็เริ่มเคลื่อนตัวไปทางทิศหนึ่งทันที
「อย่างนี้นี่เอง.........อยู่ทางทิศนี้สินะ」
เอาหินเข็มทิศเก็บกลับไปในไอเท็มบ็อกพลางจ้องมองทิศนั้น
「.........อ้าว? ทิศนั้นมัน............」
คิดอย่างนั้นพลางเริ่มวิ่งไปตามที่หินเข็มทิศชี้บอกเพื่อไล่ตามคุณอัลโทเรียไปให้เร็วที่สุด
◆◇◆
「ว่าแล้ว.............」
พอตามหินเข็มทิศไป ก็มาถึงสถานที่คุ้นเคย
「ที่นี่มัน.........ที่ๆชั้นทำคำร้องขอครั้งแรกนี่นา」
ใช่แล้ว สถานที่ๆชั้นมาถึงคือสถานที่ทำคำร้องขอแรก
.................『รื้อซากตึก』ที่เป็นการสอบของกิดล์นั่นเอง
รู้สึกได้เลยว่ารอบๆไม่มีผู้คนแม้ชั้นจะไม่ได้ใช้สกิลก็ตาม
ชั้นไม่จำเป็นต้องไปคิดมากเลยนั่นก็เพราะมันมีแต่เศษหินปูนของซากตึกที่ถูกทำลายไปแล้ว
「.............」
ชั้นไม่พูดอะไรพลางเริ่มใช้สกิลค้นหาศัตรู
ทันใดนั้นบริเวณโดยรอบที่ไม่มีผู้คนก็เจอสัญญาณตอบกลับของคุณอัลโทเรียทันที
ชั้นเดินไปที่นั่นโดยไม่มีการลังเลอะไร
และแล้ว--------ก็เจอจนได้
「คุณอัลโทเรีย」
「............」
คุณอัลโทเรียนั่งกอดเข่าแอบอยู่หลังเศษหิน
ตอนชั้นเรียกไปก็มีทำท่าไหล่กระตุกแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
พอเข้าไปใกล้คุณอัลโทเรียที่เป็นแบบนั้นชั้นหย่อนเอวนั่งลงไป
เพราะคุณอัลโทเรียหันหลังให้ชั้นเลยไม่รู้ว่ามีสีหน้ายังไง
ช่วงเวลาอันเงียบเชียบดำเนินไปซักพัก
ช่วงเวลาอันเงียบเชียบดำเนินไปโดยที่ชั้นไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย
เพราะไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี ..........ก็ดูสิขนาดเหตุผลที่อยู่ๆวิ่งออกมายังไม่รู้เลย
แต่ที่สำคัญที่สุดสำหรับตอนนี้คือชั้นทำได้แค่รอให้คุณอัลโทเรียเป็นคนเริ่มเองเท่านั้น
เพราะจับความคิดนั้นของชั้นได้ล่ะมั้งคุณอัลโทเรียเลยอ้าปากพูดแม้เสียงจะเบาก็ตาม
「นี่......เซอิจิ」
「.........มีอะไรเหรอครับ?」
「ข้า.........ไม่ใช่คนที่ไม่มีใครต้องการ...........จริงๆเหรอ?」
「...........ครับ」
「คนอย่างข้า...........อยู่ไปก็ไม่รบกวนเหรอ?」
「เรื่องนั้นไม่มีทางอยู่แล้ว สาบานได้เลยครับ」
「........จริงๆเหรอ ไม่รังเกียจแน่เหรอ..........?」
「........ครับ เพราะทุกคนชอบคุณอัลโทเรียมาก ทั้งซาเรีย ทั้งกัลซุส ทั้งคุณเอลิส.........
ทุกคนเห็นคุณเป็นคนสำคัญทั้งนั้น ผมเองก็ชอบคุณอัลโทเรียมากเช่นกันครับ」
คำถามเรียบๆของคุณอัลโทเรียชั้นตอบกลับไปแบบจริงจังทั้งหมด
ไม่มีอันไหนเลยที่โกหก มากจากใจของชั้นเลย
คุณอัลโทเรียน่ะไม่มีทางที่จะเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการแน่นอน
แต่บอกไปว่าชอบมากนี่มันน่าอายชะมัดยาด แต่ช่วยไม่ได้ก็มันจากใจนี่นา
แถมถ้าไม่พูดไปก็ส่งไปไม่ถึงด้วย
พอได้ยินคำพูดของชั้นคุณอัลโทเรียก็ไหล่สั่นก้มหน้าลง
「งั้น......เหรอ...........」
「..........」
「..........ข้าน่ะคิดว่าผู้คนรอบข้างเป็นคนสำคัญ......และทุกคนเอง.......ก็เห็นข้าเป็นคนสำคัญด้วย.....」
「..........」
「........อึก.........ฮึก..........」
คุณอัลโทเรียซุกหน้าไปที่เข่าแล้วเริ่มร้องไห้ออกมาโดยพยายามกดเสียงนั้นไว้
เวลาแบบนี้ชั้นควรทำยังไงดีล่ะ?
ถ้าเป็นเคนจิหรือโชตะล่ะก็คงเคยชินกับสถานการณ์แบบนี้กันแต่โทษทีเหอะ
ชั้นน่ะเป็นพวกซิ่งอยู่บนถนนสายไม่ฮอตของโลกนะเฟ้ย เทคนิคปลอบใจหญิงอะไรน่ะไม่รู้หรอก
แต่กับคุณอัลโทเรียที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า ชั้นทำอะไรให้ไม่ได้เลยเหรอ?
แม้จะมีพลังแต่ก็เยียวยาหัวใจไม่ได้
ชั้นถูกทำให้รับรู้ถึงความไร้พลังต่อสิ่งสำคัญซึ่งต่างจากพลังเพื่อใช้ในการต่อสู้
แล้วเวลานั้นเองจู่ๆก็นึกถึงคำพูดของคุณอโดเรียน่าที่บอกให้ฟังตอนหาคุณอัลโทเรีย
『อยากให้อยู่เคียงข้างอัลโทเรียจัง』
............อยู่เคียงข้าง?
อยู่เคียงข้างที่ว่านี่..........ต้องทำยังไงล่ะ? ทางกายภาพ? หรือทางใจ?
.........ทางกายภาพนี่เหมือนไม่ใช่
ถ้างั้นก็ต้องเป็นทางใจ...........
ชั้นที่ความคิดปั่นป่วนขึ้นเรื่อยๆก็หวนนึกถึงการกระทำของซาเรียที่ทำให้คุณอัลโทเรียขึ้นมา
『คุณอัลโทเรีย!ฮึบ!』
「------------」
ทันทีที่นึกถึงการกระทำของซาเรียร่างกายชั้นมันก็เคลื่อนที่ออกไปแล้ว
อย่างกับถูกซาเรียผลักแน่ะ............
「อ้ะ............?」
ชั้นเข้าไปกอกคุณอัลโทเรียจากด้านหลัง
ตอนที่ซาเรียกอดคุณอัลโทเรียเอาไว้แน่นก็ชื่นชมความใสสื่อบริสุทธิ์ของซาเรีย
ที่มองความกังวลของคุณอัลโทเรียออก แต่เหตุผลไม่ใช่แค่นั้นหรอก
เพราะช่วยปลดปล่อยคุณอัลโทเรียจากความกังวลและสับสนจนมีความสุขได้นี่แหละ
แม้ตัวเองจะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งภัยพิบัติมาจนถึงปัจจุบันก็ยังรักทุกคน
แต่ในทางกลับกันก็คิดว่าควรคบหากับทุกคนยังไงดี..........ความกังวลใจนี่แหละที่วนเวียนอยู่
จนป่านนี้แล้วพึ่งจะเข้าใจว่าเวลาเด็กกังวลใจการสนับสนุนทางจิตใจของพ่อแม่นั้นสำคัญเพียงใด
สำหรับพ่อแม่แม้เด็กจะกังวลใจก็ยังมีพลังที่จะโอบกอดมันไว้อย่างอ่อนโยน
และตอนบ้านเด็กกำพร้านั่นก็เพราะซาเรียมีความเป็นแม่โดยธรรมชาตินี่เอง
ตอนที่ซาเรียกอดคุณอัลโทเรียไว้แน่นนั้นไม่ใช่แค่มองความกังวลใจออกเท่านั้น
ทั้งยังโอบกอดมันไว้จนทำให้สบายใจได้ด้วย...........
แต่ยังไงซาเรียก็ไม่ได้อยู่ที่นี่
คนที่คุณอัลโทเรียจะพึ่งพิงได้..........มีแต่ชั้นเท่านั้น
แม้ไม่อาจจะเป็นที่พึ่งพิงทางใจได้สักนิดแต่แค่เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
หากเป็นกำลังให้คุณอัลโทเรียได้ล่ะก็..........
「ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้ากังวลล่ะก็ผมจะอยู่เคียงข้างคุณอัลโทเรียให้เอง
นานจนกว่าคุณจะสบายใจเลย」
「ห้ะ!? อ.........อะ........อุ............」
...............
.........อ้าว?
แค่คิดเองว่าอยากคลายความกังวลให้คุณอัลโทเรียแม้สักนิดก็ยังดี
เลยกอดไว้แน่นเลียนแบบซาเรียดู..............
........แต่แบบว่าหยุดร้องทันใจเลยอ่ะ ถึงไม่เห็นหน้าแต่พอมองลอดเส้นผมสีเงินอันงดงามนั้นไป
ก็เห็นหูแดงแป๋ดเลย
.........แต่แหม พอมาคิดๆดูแล้ว ชั้นนี่...............ชั้นนี่กล้าไม่เบาเลยแฮะ?
ทันทีที่ในหัวเข้าใจเรื่องนั้นได้หน้าชั้นก็รู้สึกร้อนขึ้นมาเลย
หวา............ตอนนี้หน้าชั้นต้องแดงอยู่ชัวร์...........!
ไม่สิ ใจเย็นไว้!แต่ยังไงก็บ้าบิ่นชะมัด!ถึงจะนิดหน่อยแต่ยังดีนะที่ทำให้ใจคุณอัลโทเรียสงบได้!
อ้ะ แต่ว่า...........คุณอัลโทเรียกลิ่นหอมดีจัง
...........ซะที่ไหนล่ะเฟ้ย!? ไหงกลายเป็นชั้นที่สงบแทนฟะ!?
อ้ะ เดี๋ยวนะ!ชั้นมันตัวเหม็นนี่หว่า!? คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ!?
ก็มีใช้ฉายา『ผู้ใช้กลิ่น』ดับกลิ่นทั้งหมดเผื่อไว้อยู่หรอก..............
เอ กลายเป็นชั้นที่กังวลแทนแล้วสิ ใครก็ได้มากอดชั้นอย่างอ่อนโยนที!
แม้ชั้นชักจะหลุดโลกแล้วแต่คุณอัลโทเรียที่อยู่ในสภาพถูกชั้นกอดไว้จากด้านหลัง
ก็มาทุบเบาๆที่แขนของชั้น
「ไม่เป็นไรแล้วน่า...............」
「เอ๋? อ้ะ ครับ!」
อายซะจนถอยหนีออกมาอย่างแรง
ทันใดนั้นคุณอัลโทเรียที่หน้าแดงก็เริ่มอ้ำอึ้งอะไรออกมา
「อ เอ่อ........ยังไงดีล่ะ แบบว่า...........น่าอายชะมัด............」
「.................」
ผมก็อายเหมือนกันแหละครับ!..........อยากตะโกนออกไปแต่ต้องห้ามใจไว้
「ท ที่กอดไว้แน่นนี่............ขอบใจ.........นะ...........」
「.............」
คุณอัลโทเรียหน้าแดงมองเอียงไปด้านบนอย่างเขินๆแล้วพูด
........คิดว่ามีภูมิต้านทานสาวสวยมาจากซาเรียไม่มากก็น้อยแล้วน้า
แต่..........ไม่ไหวแฮะแบบนี้ พลังทำลายเหลือรับ เกินจะต้านทานไหวจริงๆ
ส่วนผลลัพธ์นั้นชั้นก็ได้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องกับท่าทางของคุณอัลโทเรีย
ช่วงเวลาอันละเอียดอ่อนจนบอกไม่ถูกระหว่างชั้นกับคุณอัลโทเรียดำเนินไปอีกครั้ง
.........แต่จากที่ว่ามานี้ก็ทำให้นึกได้ว่าสำหรับคุณอัลโทเรียที่หลีกหนีผู้คนมาตลอดนี่แหละคือโอกาสล่ะ
แต่ถึงกระนั้นก็ยังแก้ปัญหาเรื่องคำสาปที่คุณอัลโทเรียมีไม่ได้อยู่ดี
ขนาดคนรู้จักของคุณอัลโทเรียเองยังหาวิธีแก้คำสาปอยู่เลย............
แต่ว่านะ...........สเตตัสโชคติดลบ2ล้านนี่.............. พอมาคิดดูอีกทีก็เยอะจนน่ากลัว
ตราบใดที่มีคำสาป『ผู้แบกรับภัยพิบัติ』ของคุณอัลโทเรียอยู่
คุณอัลโทเรียก็ยังต้องทนทุกข์ต่อไป
ทำอะไรไม่ได้เลยหรือไงนะ? อะไรที่ชั้นพอจะทำได้บ้าง........
..........บัดซบเอ๊ย คิดอะไรไม่ออกเลยเฟ้ย...........
ถ้าค่าโชคของคุณอัลโทเรียไม่ใช่ติดลบล่ะก็.............
..............
............ถ้าไม่ใช่.............ติดลบ............?
「!?」
แล้วชั้นปิ๊งขึ้นมา
นี่แหละวิธีแก้คำสาปของคุณอัลโทเรีย...........!
「คุณอัลโทเรีย!มือ!ขอมือหน่อยครับ!」
「หา?」
「ขอร้องล่ะครับ!」
พอชั้นขอไปแบบนั้นแม้คุณอัลโทเรียจะยังมีสีหน้าสงสัยก็ยังยื่นมือซ้ายมาให้
ว่าแล้วชั้นก็หยิบอุปกรณ์สวมใส่ออกมาจากไอเท็มบ็อกทันที
「ฮ เฮ้ย ตั้งใจจะทำอะไรน่ะ?」
คุณอัลโทเรียมีน้ำเสียงสับสนลังเล
แต่ชั้นในตอนนี้เสียงแบบนั้นไม่ได้เข้าหูเลย
และแล้วอุปกรณ์สวมใส่ที่ชั้นหยิบออกมาคือ---------ดรอปจากกล่องสมบัติ
『แหวนอับโชค』นั่นเอง
พอเอาแหวนอับโชคออกมาแล้วจะสวมเข้าที่นิ้วของคุณอัลโทเรียถึงพึ่งรู้สึกตัว
...........สวมนิ้วไหนดีล่ะ?
จะว่าไปแหวนอับโชคนี่.............ไม่มีคำอธิบายว่าสามารถปรับขนาดไปตามผู้สวมใส่อัตโนมัติซะด้วย......
ไม่แน่อาจจะไม่เข้ากับนิ้วของคุณอัลโทเรียเลยก็ได้
...............เอาฟะ!ตอนนี้โชคของคุณอัลโทเรียก็หักลบกับโชคของชั้นอยู่
ส่วนติดลบที่เหลืออยู่ก็ใช้แหวนนี่หักล้างไปซะ!
ด้วยเหตุนี้ชั้นที่แทบจะปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาก็ไล่สวมแหวนที่นิ้วของคุณอัลโทเรียทีละนิ้วๆ
「ซ เซอิจิ?」
ทันใดนั้นพอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นสภาพคุณอัลโทเรียที่หน้าแดงแถมตาชุ่มเครืออยู่!
...........ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปได้เหม่อมองไปกับความน่ารักอันเหลือล้นนี้แหง
เลยรีบดึงสติให้กลับมาที่มือซ้ายของคุณอัลโทเรียอีกครั้ง
「เอ่อ............」
「....นิ้วโป้ง........ไม่ได้แฮะ นิ้วชี้.........ก็ไม่ได้ งั้นนิ้วกลางล่ะ..........ฮึ้ย!」
เหลือแต่นิ้วนางกับนิ้วก้อยแล้ว...........
นิ้วก้อยนี่ต่อให้เป็นนิ้วของคุณอัลโทเรียก็หลวมเห็นๆ
งั้นก็มีแต่นิ้วนางนี่แหละ
เมื่อชั้นได้ข้อสรุปแล้วจึงสวมเข้าไปที่นิ้วนางของคุณอัลโทเรียทั้งอย่างนั้นเลย
「ห้ะ!?」
โอ้! พอดีเป๊ะ!
เพราะโชคดีสวมเข้าไปได้พอดีกับนิ้วของคุณอัลโทเรียเลยเผลอยิ้มออกมาจากใต้ฮู้ด
ทันใดนั้นแหวนอับโชคที่สวมไว้กับนิ้วของคุณอัลโทเรียก็เริ่มเปล่งแสงเรืองรองออกมา!
「อ อะไรกันน่ะ!?」
「อึก!」
ชั้นตกใจและตะลึงไปกับคุณอัลโทเรีย
ทั้งๆที่แหวนอับโชคแหวนเปล่งแสงเจิดจ้าตรงหน้าชั้นแต่ก็ไม่ได้ทำลายสายตา
ดูคล้ายกับแสงอันอ่อนโยนนั้นห่อหุ้มชั้นกับคุณอัลโทเรียซะมากกว่า
สุดท้ายเมื่อแสงอันอ่อนโยนนั้นจางลง แหวนอับโชคที่สวมไว้กับนิ้วของคุณอัลโทเรีย
ก็ส่องแสงสีม่วงลางๆออกมา
จากที่ดูภายนอกยกเว้นแสงสีม่วงลางๆแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
แต่สำหรับชั้นแหวนตรงหน้านี่เหมือนไม่ใช่อันเดิมยังไงบอกไม่ถูก
เลยเผลอใช้สกิลตรวจสอบไป
『แหวนโชคลาภ』.......อุปกรณ์สวมใส่ระดับมายา
เป็นการอวยพรแด่ความรู้สึกของทั้งสองคน-----Byกล่องสมบัติ
ยกเลิกคำสาปของผู้สวมใส่ ค่าโชคของผู้สวมใส่จะถูกคูณด้วย 2
กล่องสมบัตตตตตตตตตตตตตติ!
นายนี่...........!ช่วยชั้นไว้ขนาดไหนแล้วเนี่ย!
ส่วนความรู้สึกของทั้งสองคนนี่ก็ไม่รู้ว่ามีความหมายยังไงหรอกนะ
แต่ยังไงก็ตามคุณอัลโทเรียก็ได้นายช่วยไว้แท้ๆเลย!
ชั้นเลยบอกเรื่องที่คำสาปของคุณอัลโทเรียคลายแล้วไป
「คุณอัลโทเรีย! คำสาปของคุณหายไปแล้วครับ!」
「.............หา?」
「โธ่เอ๊ย!อธิบายรายละเอียดไว้ทีหลังเหอะ!ตอนนี้ช่วยตรวจดูสเตตัสก่อนเถอะครับ!」
พอบอกออกไปด้วยความตื่นเต้น คุณอัลโทเรียก็เลยตรวจดูสเตตัสด้วยความกดดันนิดหน่อย
「--------------」
คุณอัลโทเรียเปิดตากว้างกับสเตตัสของตัวเองตรงหน้า
「ก โกหก.........ใช่มั้ย?」
「เรื่องจริงครับ」
「ก โกหก จะมีเรื่องน่ายินดีแบบนี้ติดๆกันได้ยังไง
เรื่องที่ทุกคนยอมรับข้าก็ด้วย...........ทั้งหมดเป็นความฝันสินะ.........!」
คุณอัลโทเรียสับสนกับเหตุการณ์อันกะทันหันจนทำอะไรไม่ถูก
เพื่อเป็นการย้ำเตือนคุณอัลโทเรียให้มั่นใจชั้นเลยจับมือคุณอัลโทเรียไว้แล้วบอกไปอย่างหนักแน่น
「ไม่ใช่ทั้งโกหกหรือความฝันทั้งนั้นครับ!คุณน่ะไม่ใช่≪ภัยพิบัติ≫อีกต่อไปแล้ว!」
「..............」
「ดูแหวนวงนี้สิครับ!นี่แหละคือสิ่งที่แก้คำสาปของคุณ!」
ชั้นให้ดูแหวนอับโชค-------ไม่สิ แหวนโชคลาภที่สวมไว้กับนิ้วของคุณอัลโทเรีย
แต่ถึงกระนั้นคุณอัลโทเรียก็ยังตะลึงอยู่ดีชั้นเลยพูดต่อ
「ก็บอกว่า.........ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้วล่ะครับ โชคร้ายที่มีมาจนถึงตอนนี้
จากนี้ไปจะกลายเป็นความสุขแล้ว มีผม----------ช่วยเต็มที่ซะอย่าง」
พอพูดแบบเด็ดขาดถึงขนาดนั้น
คุณอัลโทเรียที่มองหน้าชั้นสลับกับแหวนก็ค่อยๆหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆแล้ว----------
「~~~~อื๊อ!」
--------วิ่งหนีไปซะงั้น
....................
...............อ้าว?
「เฮ้ย!? อีกแล้วเหรอ!?」
ชั้นตกใจพร้อมเอียงคอกับคุณอัลโทเรียที่หนีไปอีกครั้ง
「ทำไมอ่ะ!? ชั้นผิดอะไรเหรอ!?」
มาเรียบเรียงสถานการณ์กันดีกว่า
อย่างแรก ปลอบคุณอัลโทเรีย
พอนึกเรื่องแหวนที่ได้จากกล่องสมบัติออกก็เอาไปสวมให้ที่นิ้วนางมือซ้าย
คำสาปหายไป คุณอัลโทเรียสับสน จากนั้นชั้นก็บอกว่าจะช่วยอย่างเต็มที่
...................
「มันสารภาพรักชัดๆเลยนี่หว่า!?」
เฮ้ยนี่ตูทำอะไรลงไป!? พลาดไปถึงขนาดนั้นได้ไงฟะ!?
ว่าแต่นิ้วนางมือซ้ายนี่...........มันไว้สำหรับสวมแหวนแต่งงานไม่ใช่เหรอ!
ทำไมถึงไม่รู้ตัวเลยฟะ!
............เอ๊ะ? แต่ว่า.........เรื่องการสวมแหวนแต่งานที่นิ้วนางมือซ้ายมันเป็นของโลกเดิมนี่นา
ไม่ใช่ว่าที่ต่างโลกนี่จะต่างกันเหรอ?
พอคิดอย่างนั้นแล้วเดิมทีการสารภาพรักก็ไม่แน่ว่าจะใช้แหวนเป็นเครื่องยืนยันการแต่งงานด้วย.........
「แต่ถ้าอย่างนั้นแล้วปฏิกิริยาแบบนั้นของคุณอัลโทเรียมันอะไรล่ะ........
โธ่เว้ยยยยยยยยยย!ไม่เห็นจะเข้าใจเลยเฟ้ย!」
ต่อให้คิดหลีกหนีความจริงอย่างไร้ความหมายแค่ไหนก็ต้องไล่ตามคุณอัลโทเรียไป
บัดซบเอ๊ย!ถ้าความยุ่งเหยิงของคุณอัลโทเรียจบ
จะได้เริ่มรวมรวมข้อมูลของผู้กล้าแล้วออกเดินทางสำรวจต่างโลกนี่อย่างจริงจังซะที!
..........แต่ก็นะ..........
「ถ้าคุณอัลโทเรียร่าเริงดีแล้วล่ะก็...........สำหรับตอนนี้แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ」
ชั้นพึมพำอย่างนั้นพลางไล่ตามคุณอัลโทเรียไปทิ้งกองเศษหินไว้อยู่ด้านหลัง
โดยท้องฟ้าอันสดใสนั้นรู้สึกเหมือนมีกล่องสมบัติกำลังชูนิ้วโป้งให้อยู่
◆◇◆
「1..........2............3.........อ้ะ ดูเหมือนว่าเป็นช่วยคนเลยได้รับเงินครับ」
「หา? เท่าไรล่ะ?」
「10000G」
「เยอะชิบ!?」
「ต่อไปก็ข้านะ..........อ้ะ ข้าก็3ด้วย」
「เอ้า ก็เดินหมากไปสิ」
「ครับ เอ่อ..........อ้ะ ได้รับ50000Gเป็นของขวัญคลอดลูกจากคนถัดไปครับ」
「นี่ก็เยอะอีก!? แต่เฮ้ยคนถัดไปมันข้าไม่ใช่เหรอ!」
ข้า---------เบล กิเซลกำลังเล่นอะไรบางอย่างกับ เจ้าอ้วนเทอรี่ เฮม เจ้าแห้งบอสโก้ แดน อยู่
「แหม แต่ยังไงก็เถอะ.............มนุษย์นี่คิดของที่น่าสนุกออกมาได้ไม่เลวเลยนะ」
「นั่นสิ แล้วชื่อการเล่นนี่มันอะไรเหรอ?」
「ถ้าจำไม่ผิด............ชื่อ『เกมชีวิต』ล่ะมั้ง」
ใช่แล้วตรงหน้าของพวกเราเป็นกระดานที่วาดถนนเป็นช่องๆซึ่งมีรายละเอียดเขียนไว้ถี่ยิบ
โดยจะเดินหมากไปบนกระดานนั้น จากนั้นจะใช้ลูกเต๋าตัดสินว่าหมากจะเดินไปได้เท่าไร
「แต่ว่าเจ้านี่ถึงจะเป็นของมนุษย์แต่ก็เป็นมนุษย์ที่เป็นผู้กล้าจากต่างโลกเป็นคนเอามาเล่นนะครับ?」
「โห ต่างโลกเลยเหรอ.............เป็นที่แบบไหนกันนะ」
คำพูดว่าต่างโลกที่บอสโก้บอกมาทำให้ข้ารู้สึกสนใจ
ถึงพวกเราจะต่อสู้กับมนุษย์แต่ข้าก็ไม่ได้ชอบสงครามสักเท่าไรหรอก
เดิมทีพวกเราเผ่าปีศาจเองที่สู้ก็เพื่อป้องกันตัวเท่านั้น
「ถ้าเป็นโลกที่ไม่มีสงครามก็คงดี」
พูดแบบนั้นออกมาโดยไม่ได้ตั้้งใจ
พอบรรยากาศเริ่มเศร้าขึ้นมา เทอรี่เลยจงใจแสร้งเปลี่ยนเรื่อง
「อ้ะ คราวนี้มาเล่น『ไพ่』กันมั้ยครับ?」
「ไพ่? อะไรล่ะนั่น」
「เอ่อ...........จะมีการ์ดอยู่สี่แบบคือ หัวใจ ข้าวหลามตัด ดอกจิก โพดำ
และทุกๆแบบจะมีเลข1-13เขียนไว้ในการ์ดน่ะครับ」
「โฮ่ แล้วเป็นเกมส์ยังไงล่ะ?」
ข้ารู้สึกสนใจขึ้นมาทันทีเลยถามออกไป คราวนี้บอสโก้เป็นคนตอบคำถามของข้า
「จากที่ข้าฟังเพื่อนมาก็..............จะมี『โป๊กเกอร์』แล้วก็『อีแก่』...........
อ้ะแล้วก็『ไพ่โกหก』ด้วย ยังไงก็ตามแต่ไพ่นี่มีการเล่นเยอะแยะเลยครับ」
「โปเก้อ? ว่าแต่อีแก่นี่..........ทำไมต้องเอาป้ามาเล่นด้วยล่ะ? มันไม่ค่อยจะดีเลยนะ」
「เอ่อ ไม่ใช่ว่าเอาป้ามาเล่นจริงๆสักหน่อย...............」
「ไม่เห็นจะเข้าใจเลยฟ่ะ แล้ว? จะเล่นอันไหนล่ะ?」
แม้จะมีคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจโผล่มาเยอะแต่ถ้าเป็นการเล่นถึงไม่เข้าใจก็สนุกได้
แต่ว่านะ........มนุษย์นี่เจ๋งไปเลย ของอย่างเดียวยังคิดวิธีเล่นออกมาได้ตั้งเยอะ
「นั่นสินะ........ที่ข้าจำกฏได้ก็มีแค่『ไพ่โกหก』ซะด้วยสิ..........」
「งั้นก็เอาอันนั้นแหละ จัดมาเลย」
ว่าแล้วเทอรี่ก็อธิบายมาให้แบบคร่าวๆ
สรุปตามที่เข้าใจคือเอาการ์ดที่แจกมาถือไว้โดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็นแล้วคว่ำหน้าลงการ์ดเรียงตั้งแต่เลข1ไป
แล้วพอถึงคิวตัวเองต่อให้การ์ดที่ต้องส่งออกมาไม่มีอยู่ในมือหากอีกฝ่ายไม่รู้ก็ยังเอาส่งออกมาได้
ถ้าอีกฝ่ายคิดว่าการ์ดที่ส่งออกมาโกหกก็จะพูดว่า『โกหก』
หากส่งการ์ดที่โกหกออกมาจริงเจ้าตัวคนโกหกต้องรับการ์ดที่ลงแล้วทั้งหมดไว้
กลับกันถ้าเป็นการ์ดจริงคนที่พูดคำว่าโกหกจะต้องรับการ์ดที่ลงแล้วทั้งหมดไปแทน............
ทำไมถึงคิดการเล่นที่น่ารังเกียจแบบนี้ออกมานะ พวกมนุษย์เนี่ย......!
งั้น『โกหก』ที่น่าหวาดหวั่นนั่นก็พูดไม่ได้น่ะสิ!? ความเสี่ยงสูงจะตาย!
............อ๋อ!? เป็นการเล่นแบบนี้เองเหรอ!? คือการสนุกไปกับความหวาดเสียว!?
............ท่าทางท่านเรย์ย่าน่าจะชอบแฮะ
เอาเถอะยังไงก็ตามแต่ก็มีแต่ต้องลองจริงๆเท่านั้นพวกเราเลยเริ่มเล่นไพ่โกหกกัน
ฟู่..........สรุปแค่ไม่โกหกก็พอสินะ การเล่นแบบนี้น่ะของกล้วยๆ!
「7ครับ」
「8สินะ」
「งั้น9---------」
「「โกหก」」
「โนววววววววววววววว!?」
ผลลัพธ์-------แพ้ราบคาบ
พึ่งมารู้ตอนหลังว่าการเล่นนี้อย่างน้อยต้องมี4คน................
บัดซบบบบบ!
ขณะที่พวกเรา3คนใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยด้วยความรู้สึกประมาณนี้กันอยู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิดอย่างรุนแรง
「...........」
「ท ท่านเรย์ย่า?」
สีหน้าของท่านเรย์ย่าที่เข้าห้องมานั้นจริงจังจนพวกเราตกใจ
ท่านเรย์ย่าตอบรับเสียงเรียกของพวกเราด้วยการเดินตรงเข้ามาทางพวกเรา
พวกเราที่ยังคงนั่งท่าเดิมที่กำลังเล่นไพ่อยู่ก็เงยหน้ามองท่านเรย์ย่าที่มาหยุดยืนตรงหน้าพวกเรา
และแล้วท่านเรย์ย่าที่ปากปิดสนิทมาตลอดก็ค่อยๆเอ่ยขึ้น
「........ท่านเทพมังกรดำ..........โดนจัดการแล้ว」
「「「..........หา?」」」
พวกเราส่งเสียงเอ๋อๆออกมาพร้อมกัน
ท่านเทพมังกรดำ............โดนจัดการ?
ไม่สิ เป็นไปไม่ได้หรอก ท่านผู้นั้นที่มีกำลังรบเก่งที่สุดในเผ่าปีศาจถ้าไม่นับท่านจอมมารเนี่ยนะ
เรื่องโดนจัดการน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก
คงเพราะคิดแบบเดียวกับชั้นเหมือนกัน เทอรี่กับบอสโก้เลยตะลึงไปด้วยกัน
ท่านเรย์ย่ามองลงมายังพวกเราที่เป็นแบบนั้นพลางบอกออกมาอย่างชัดเจนอีกครั้ง
「ท่านเทพมังกรดำโดนจัดการไปแล้ว」
「「「...............」」」
สีหน้าท่านเรย์ย่าจริงจังมากจนทำให้พวกเราเข้าใจได้ว่าคำพูดนั้นเป็นความจริง
พวกเรานั้นไม่มีใครคิดเลยว่าท่านเทพมังกรดำจะถูกจัดการได้
เพราะงั้นถึงได้ประหลาดใจแล้วตะลึงกันไปเลยยังไงล่ะ
「ฉันหลังจากนี้จะไปที่【ดันเจี้ยนเทพมังกรดำ】เพื่อไปฟื้นพลังให้ท่านเทพมังกรดำ」
「ง งั้นพวกผมก็.............」
「พวกนายน่ะระหว่างที่ฉันไม่อยู่ก็คอยเฝ้าที่นี่ไว้ซะ」
เพราะสั่งมาด้วยสีหน้าจริงจังพวกเราเลยได้แต่นิ่งเงียบ
อีกอย่างต่อให้พวกเราตามท่านเรย์ย่าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี
แต่เดิมทีถ้าพวกเราไม่วางแผนให้ท่านเทพมังกรดำเป็นคนจัดการพวกมนุษย์ล่ะก็
เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น
สิ่งที่ทำไปทำให้ทั้งท่านเทพมังกรดำและท่านเรย์ย่าต้องเดือดร้อน.........
ขณะที่เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปท่านเรย์ย่าก็ถอนหายใจออกมา
「ก็พอจะเดาได้หรอกนะว่าพวกนายคิดอะไรกันอยู่..............
แต่ว่าขนาดฉันเองก็ไม่คิดหรอกว่าท่านเทพมังกรดำจะถูกปราบลงได้?
เพราะงั้นพวกนายไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอก
อีกทั้งถึงมันจะเป็นแผนการที่เหยาะแหยะแต่ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว
แถมยังโชคดีที่ท่านเทพมังกรดำถูกปราบในดันเจี้ยนเลยสามารถคืนชีพได้...........
แต่ยังไงพลังที่กลับคืนมาก็ไม่สมบูรณ์อยู่ดีฉันเลยต้องไปเพื่อให้คืนชีพได้สมบูรณ์ไงล่ะ」
พวกเรารู้สึกซาบซึ้งในคำพูดและความสามารถของท่านเรย์ย่า
คนๆนี้อาจจะมีหลายๆอย่างหลุดโลกไปบ้าง............แต่ก็ยังสุดยอด ..........แม้จะหาแฟนไม่ได้ก็เถอะ
นอกจากนั้นถ้าเป็นท่านเรย์ย่าล่ะก็ต้องนำพลังของท่านเทพมังกรดำกลับคืนมาได้แน่
ขณะที่มองท่านเรย์ย่าด้วยตาที่เปล่งประกาย ท่านเรย์ย่าก็พึมพำอย่างน้อยใจกับตัวเองเบาๆ
「แต่ก็นะ.........ถึงจะทำอย่างนั้นได้แต่แค่พลังของท่านจอมมารก็ยังเอากลับคืนมาไม่ได้」
「เรื่องนั้น..........」
「ยังไงก็ตามแต่!พวกนายน่ะช่วงที่ฉันไม่อยู่ก็เฝ้าปราสาทนี้ให้ดีด้วยล่ะ」
「「「รับทราบครับ!」」」
เมื่อฟังคำตอบของพวกเราแล้วท่านเรย์ย่าก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
จากนั้นวงเวทวาร์ปก็ปรากฏขึ้นแล้วหายไปจากที่ตรงนั้นทันที
พอยืนยันว่าท่านเรย์ย่าไปแล้วข้าเลยเรียกเทอรี่กับบอสโก้
「นี่...........」
「มีอะไรเหรอครับ?」
「แบบว่าสีหน้าซีเรียสจังเลยนะครับ..........」
ทั้งสองคนดูเหมือนว่าจะเป็นห่วงข้าแฮะ
ข้านี่ช่างมีลูกน้องที่ดีอะไรแบบนี้!
คิดอย่างนั้นไปพลางข้าก็เผยความกังวลเมื่อตะกี้ออกมา
「ถึงบอกให้เฝ้าก็เถอะ.........แต่จะทำอะไรกันดีล่ะ?」
「「คุณเบล...........」」
สายตาเย็นชาจากทั้งสองคนนี่มันเจ็บปวดดีแท้
◆◇◆
「อย่าลดแขนลง!ในการต่อสู้ช่องว่างเพียงนิดก็หมายถึงชีวิต!」
ชั้น.........ทาคายามะ โชตะกำลังได้รับการอบรมการต่อสู้ด้วยดาบไม้ในสถานที่ฝึกอบรมภายในปราสาท
แน่นอนว่าที่ได้รับการฝึกอบรมไม่ใช่แค่ชั้นเท่านั้น
นักเรียนทุกคนที่เป็นผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญได้รับการอบรมกันหมด
「อีก100ครั้ง!」
ส่วนที่ออกคำสั่งพวกเราอยู่คือ ซาเคีย กิลฟอร์ดที่เป็นหัวหน้ากองอัศวินของอาณาจักรนี้
คุณซาเคียคือคนที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังพวกทหารที่จ่อหอกมา
หลังจากการพบกับพระราชาครั้งแรกนั่นแหละ
เกราะสีเงินหม่นและรอยแผลเป็นของทหารผ่านศึกมีอยู่มากมายทั้งยังบรรยากาศที่อยู่รอบตัว
ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าแตกต่างจากทหารทั่วไป
คุณซาเคียให้พวกเราทุกคนถือดาบไม้แล้วสั่งให้ฟาดดาบ1000ครั้ง
นั่นก็เพื่อให้พวกเราซึ่งเป็นผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญมาสามารถใช้【ดาบศักดิ์สิทธิ์】
ที่จำเป็นต้องได้มาให้มีประสิทธิภาพ
แต่คุณซาเคียไม่ได้ทำแค่นั้น ยังเป็นคนที่สอนสามัญสำนึกของโลกนี้ซึ่งเมื่อทำตามก็ได้ผลจริงๆ
เพื่อให้พวกเราทุกคนสามารถเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้อย่างปลอดภัย
ตามที่คนๆนี้อธิบายมาดาบศักดิ์สิทธิ์เป็นวิธีโจมตีที่ดีที่สุดสำหรับจอมมารและมอนเตอร์
ดูเหมือนว่าเพราะมี『ธาตุศักดิ์สิทธิ์』ห่อหุ้มเอาไว้
และเพื่อให้สามารถแสดงประสิทธิภาพของ『ธาตุศักดิ์สิทธิ์』จนเผ่าปีศาจต้องตกใจ
พวกเราทุกคนเลยเชื่อฟังคุณซาเคียเข้ารับการอบรมเพื่อให้ใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ
「อีก5ครั้ง!..........4!3!2!1!........พอได้!」
พอคุณซาเคียสั่งแบบนั้นพวกเราก็ลดดาบไม้ที่ฟาดอยู่ลง
นี่ขนาดมาที่โลกนี้ได้ครึ่งปีแล้วยังมีคนเยอะแยะเลยที่ตามการฝึกนี้ไม่ไหว
สำหรับชั้นกับรุ่นพี่คันนะซึกิเดิมทีก็อยู่ชมรมเคนโด้กันอยู่แล้วเลยไม่ได้ลำบากอะไรมาก
ส่วนเคนจิเองแต่เดิมก็เป็นคนอดทนอยู่แล้วเลยผ่านมาได้เช่นกัน
ขณะที่ทุกคนพักกล้ามเนื้อที่ปวดเมื่อยปรับลมหายใจคุณซาเคียก็พูดขึ้น
「การฝึกวันนี้จบแค่นี้ แต่ละตนไปพักให้เต็มอิ่มด้วยล่ะ」
พอแจ้งมาตามระเบียบแบบน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นแล้วคุณซาเคียก็ทำท่าจะเดินออกจากที่นี่ไป
ทุกครั้งก็จะแยกย้ายกันไปตรงนี้แต่มีแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่ต่างออกไป
「ช่วยรอก่อนครับ!」
「..............」
คนที่เรียกคุณซาเคียที่กำลังจากไปให้หยุดคืออาโอยามะที่เป็นแกนนำของห้องเซอิจิ
「ทำไมถึงให้ฝึกหวดดาบแต่ไม่ให้สู้จริงสักทีล่ะครับ!พวกเราเป็นผู้กล้านะ?
ถึงสเตตัสมันจะขึ้นแต่Lvไม่ได้ขึ้นเลยสักนิดไม่ใช่เหรอไงครับ!」
「...........ตอนนี้การคุ้นชินกับอาวุธเป็นเรื่องสำคัญ」
「ก่อนหน้านี้ก็เห็นแต่พูดแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?
ผมน่ะคิดว่าวิธีไปต่อสู้กับมอนเตอร์อ่อนๆให้Lvอัพยังจะเก่งได้แน่นอนกว่าอีก?」
พออาโอยามะพูดออกมาเด็ดขาดขนาดนั้นคนอื่นที่มองเงียบๆมาตลอดก็อ้าปากพูด
「น นั่นสิ!」
「ต่อให้หวดดาบไม้ไปเท่าไรก็ไม่ได้ทำให้เก่งขึ้นหรอก」
「สเปกพื้นฐานร่างกายสูงแบบนี้มันต้องใช้วิธีให้Lvอัพต่างหากถึงจะเก่ง!」
「คุณซาเคียก็ให้พวกเราไปสู้กับมอนเตอร์บ้างเถอะครับ」
เสียงแห่งความไม่พอใจปะทุออกมาเรื่อยๆ
พอบังเอิญหันสายตาไปทางรุ่นพี่คันนะซึกิก็เห็นรุ่นพี่ทำหน้าลำบากใจกับพวกนักเรียน
จริงอยู่ที่วิธีการLvอัพทำให้เก่งได้กว่าที่ทำอยู่นี่แน่นอน
แต่ทำไมกันนะชั้นถึงได้รู้สึกว่าไม่ควรทำอย่างนั้น
ทันใดนั้นคุณซาเคียที่นิ่งเงียบรับฟังความไม่พอใจของพวกนักเรียนก็พูดขึ้นมาสั้นๆ
「........ไม่มีการเปลี่ยนแผน พรุ่งนี้ก็มาหวดดาบและฝึกต่อสู้แบบง่ายๆเหมือนเดิม แค่นี้แหละ」
พูดเพียงแค่นั้นแล้วคราวนี้คุณซาเคียก็กลับไปเลย
พอไม่เห็นหลังของคุณซาเคียพวกนักเรียนก็แสดงความไม่พอใจออกมาเรื่อยๆ
「อะไรของหมอนั่นฟะ!」
「ไม่เข้าใจเลยเฟ้ย」
「ทำเรื่องไร้ความหมายแบบนี้ต่อไปให้มันได้อะไรขึ้นมา?」
「อีแบบนี้เพี้ยนแหงๆเนอะ?」
ทุกคนพูดไปตามใจปาก
แน่นอนว่าถึงจะไม่ได้ประสิทธิภาพแต่คงคิดอะไรไว้อยู่แล้วล่ะน่า
ถึงชั้นจะฝึกเคนโด้แต่สำหรับการต่อสู้ถือเป็นมือใหม่เอี่ยมอ่อง
เพราะงั้นให้เป็นหน้าที่ของมือโปรนี่แหละดีที่สุด
พอชั้นตัดสินได้แบบนั้นก็ไปนั่งมองพวกนักเรียนพูดจาปากสุนัขตรงหน้าฆ่าเวลา
◆◇◆
「เฮ้อ............」
ข้า ซาเคีย กิลฟอร์ดกำลังถอนหายใจอยู่ตรงระเบียงในปราสาทที่มีแสงจันทร์อันงดงามสาดส่องลงมา
「.........ไม่ราบรื่นอย่างที่คิดแฮะ.......」
「เรื่องอะไรงั้นเหรอครับ?」
มีเสียงที่คาดไม่ถึงดังมาจากข้างหลัง
แต่ข้าก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพราะจับกลิ่นไอว่ามีคนเข้ามาใกล้ได้อยู่แล้ว
「ออฟี่เหรอ.......」
「ขอยืนข้างๆได้มั้ยครับ?」
「..........ตามสบาย」
ชายสำอางค์ผมหยิกสีน้ำตาลอ่อนที่ยิ้มตอบข้าอย่างนุ่มนวลคนนี้คือ--------
ผู้ช่วยหัวหน้ากองอัศวิน ออฟี่ อัลมอน
มีความสามารถเป็นพิเศษในกองอัศวินทั้งยังเป็นลูกน้องที่ข้าไว้ใจมากที่สุด
ออฟี่แหงนมองดวงจันทร์โดยไม่พูดอะไรเช่นเดียวกับข้า
และแล้วก็ค่อยๆพูดออกมา
「คุณซาเคีย การฝึกวันนี้ก็เข้มงวดเหมือนเดิมสินะครับ」
「.............」
「เพื่ออะไรกันครับ?」
ออกฟี่แทงไปยังเรื่องกลุ้มใจของข้าตรงๆโดยยังคงยิ้มอย่างนุ่มนวล
ข้าเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดอะไรเลยตอบออฟี่ไป
「..........ก็เพราะไม่อยากให้ตายไงล่ะ」
「เอ๋?」
ออฟี่คาดคำตอบของข้าไม่ถึงล่ะมั้งเลยแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
「พวกเขาน่ะ.........ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามของพวกเราเลย ทั้งที่เป็นอย่างนั้น
ยังจะบอกให้พวกเขาไปปราบจอมมารอีก จะให้ทำใจยอมรับได้ยังไงล่ะ............」
「เรื่องนั้น............」
「ยิ่งกว่านั้น ........เพราะเป็นนายหรอกนะถึงได้บอก ข้าน่ะไม่อยากสู้กับเผ่าปีศาจ
อยากให้มาปรองดองกัน」
「!」
ตาของออฟี่เบิกกว้างชนิดที่ไม่รู้จะกว้างยังไงแล้ว
「........คุณซาเคีย ความคิดนั้นมันขัดกับแนวคิดของท่านราชานะครับ
ถ้าเกิดมีใครมาได้ยินเข้า............」
「ไม่มีปัญหาหรอก ก็ที่นี่น่ะ...........มีแค่นายเท่านั้นแหละ」
พอข้ายืนยันไปแบบนั้น ออฟี่ก็แสดงท่าทางสบายใจขึ้นมานิดหน่อยให้เห็น
「ถ้า≪ดาบของราชา≫พูดมาแบบนั้นล่ะก็คงไม่มีอะไรต้องห่วง」
「.........ชื่อนั้นไม่ชอบเลยฟ่ะ อีกอย่างแม้ข้าจะเชื่อฟังคำสั่งของราชาคนปัจจุบัน
แต่ใจข้ายังคงรับใช้ราชาองค์ก่อนอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง」
「.......ท่านอัลฟี่สินะครับ」
อัลฟี่ เดียไคเซอร์ ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้และเป็นราชาที่ยอดเยี่ยม
เป็นผู้ที่อ่อนโยนกับประชาชนหากมีเรื่องเดือดร้อนจะไปช่วยทันทีโดยไม่แบ่งแยกเผ่าพันธุ์
............จะมีก็แต่ท่านเท่านั้นแหละ
แต่ท่านอัลฟี่เป็นเพราะอายุจึงต้องนอนพักรักษาตัวบ่อยๆ
ทำให้ต้องส่งมอบบัลลังค์ให้ลูกชายซึ่งเป็นราชาคนปัจจุบัน
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่อาจกล่าวถึงคำว่าความสงบสุขได้อีกเลย
ขณะที่เผลอทำหน้าเครียด ออฟี่ก็พูดต่อ
「...........ก็จริงนะครับ ท่านราชาคนปัจจุบันนี่............ พูดกันนอกเรื่องไปซะแล้ว เรื่องที่
ไม่อยากให้พวกเขาตายก็พอเข้าใจ แต่ทำไมไม่ให้สะสมประสบการ์ณสู้จริงบ้างล่ะครับ?」
「..........พวกเขาน่ะรู้สึกว่ามาจากโลกที่สงบสุขมากกว่าที่พวกเราคิดไว้
หากแค่วิถีแห่งดาบยังไม่รู้วิถีทางที่คร่าชีวิตผู้คนไปแบบง่ายๆก็คงไม่รู้หรอก
เพราะงั้นเลยต้องเริ่มต้นจากการให้คุ้นเคยกับอาวุธซะก่อน」
「เรื่องนั้น...........」
「แน่นอน ให้ทำเรื่องพื้นฐานขนาดนั้นซ้ำๆเป็นใครก็ไม่ชอบ
แต่ก็ทำให้พวกเขาได้สัมผัสถึงอาวุธ ได้เรียนรู้เพื่อที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดไป
ถึงยังไง...........ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยใช่มั้ยล่ะ」
「.............」
「ก็รู้อยู่ว่าเป็นความเอาแต่ใจของข้า แต่ก็ไม่อยากให้พวกเขาต้องตายเลยแม้แต่คนเดียว
ถ้ามาจากโลกที่สงบสุขก็อยากจะให้กลับไปใช้ชีวิตในโลกอันแสนวิเศษนั้นซะมากกว่า
.............มันก็แค่นั้นแหละ」
ข้าพูดเพียงแค่นั้นพลางออกจากระเบียงไปทั้งอย่างนั้น
「..........คุณซาเคีย คุณน่ะแสดงออกไม่เก่งเลยนะครับ」
คำพูดที่ออฟี่พึมพำอยู่คนเดียวโดยที่ข้าไม่ได้ยินนั้นก็หายไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืน