ตอนที่ 30 มนุษย์
ชั้นหยิบสมุดโน๊ตที่เขียนถึงช่วงชีวิตของเทพมังกรดำขึ้นมา
เฮอะ ชั้นเดาได้หรอกน่า ยังไงปกคงเขียนว่า『เรื่องราวของเทพมังกรดำ』แทนล่ะสิ
แล้วมีใส่ข้างใต้ว่า『อ้างอิงจากเรื่องจริงจ้า』ด้วยใช่มั้ยล่ะ?
เสียใจด้วย!ชั้นน่ะไม่ได้บื้อถึงขนาดนั้นหรอกเฟ้ย!อย่าหวังหลอกกันซะให้ยาก!
『ชีวประวัติของเทพมังกรดำ』
「ชีวประวัติ!?」
หน้าปกเกินคาดจนชั้นร้องตกใจออกมา
ก็ดูดิ.........ดันเป็นชีวประวัติ!? ไม่ใช่เรื่องราวซะงั้น!?
เอาเถอะ หน้าปกที่เจอมาถึงตอนนี้ต่างหากล่ะที่น่าสงสัย!
แต่มาถึงขั้นนี้แล้วทำไมไม่เอาเป็นเรื่องราวจนเป็นธรรมเนียมไปเลยล่ะ!?
จะว่าเป็นชีวประวัติเพราะเป็นสิ่งที่บุคคลนั้นๆได้ประสพพบมาในชีวิตก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก..............
ขณะยังหาคำอธิบายที่พอใจไม่ได้ก็เริ่มเปิดอ่าน
『เทพมังกรดำในสมัยก่อนเป็นเทพที่มนุษย์ในหมู่บ้านหนึ่งศรัทธา』
ป เป็นที่ศรัทธางั้นเหรอ............? อ้ะ ก็เทพนี่นาไม่เห็นจะแปลกตรงไหน..........
『เทพมังกรนั้นหากชาวบ้านมีภัยก็จะอุทิศตัวเข้าไปช่วยปกป้องเสมอ
เพราะเทพมังกรเป็นเช่นนั้นทำให้ชาวบ้านต่างพากันเลื่อมใสจากหัวใจ』
จินตนาการไม่ออกเลยนะเนี่ย.............คนที่เกลียดมนุษย์ขนาดนั้นไปช่วยเหลือมนุษย์ได้.........
『ทว่า เมื่อวันเวลาผ่านไปศรัทธาของชาวบ้านก็เริ่มเลือนลางลง
และแล้วพวกชาวบ้านก็ลืมบุญคุณที่เทพมังกรดำได้ปกป้องจากมอนเตอร์และภัยพิบัติต่างๆนาๆ』
..............
『แล้วสิ่งที่รอเทพมังกรอยู่นั้นคือความจริงอันโหดร้าย
ชาวบ้านได้วางแผนจัดการกับเทพมังกรดำด้วยการใส่ร้ายว่าไปทำลายหมู่บ้านอื่น
เพื่อผลประโยชน์ว่าจะได้วัตถุดิบมาทำอาวุธ ซึ่งแน่นอนว่าเทพมังกรดำโกรธพวกชาวบ้าน
สิ่งที่ทำไปก็ไม่เคยหวังจะได้รับศรัทธาหรือคำขอบคุณแต่กลับถูกกระทำแบบนี้』
แบบว่า............ไม่แปลกหรอก โดนพวกมนุษย์ที่คอยปกป้องหักหลังเข้ามาทำร้ายกันนี่นา
『เทพมังกรดำได้ชื่อว่าเทพก็ต้องมีพลังต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวอยู่แล้ว
แต่ทว่าเพื่อจัดการเทพมังกรดำ ชาวบ้านจึงได้รวบรวมผู้มีฉายาแนว≪พิฆาตมังกร≫มาปราบ
เพราะพวกเรียกว่าDragonslayerทำให้ปิดผนึกการเคลื่อนไหวของเทพมังกรดำ
ได้อย่างง่ายดายจนสร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาล』
Dragonslayerงั้นเหรอ............การที่จัดการเทพมังกรดำได้ง่ายแบบนั้นนี่จินตนาการไม่ออกเลยแฮะ
『แม้เทพมังกรดำจะพยายามหนีพวกพิฆาตมังกรอย่างสุดชีวิตแต่ไม่นานพลังที่ใช้หนีก็หมดลง
จนแทบจะสิ้นเรี่ยวแรงล้มลงไปได้ทุกเมื่อ แต่ท่ามกลางสติอันเรือนรางโดนที่ความตาย
กระชั้นชิดมานั่นเองเทพมังกรดำได้พบชายคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านมายื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ซึ่งชายคนนั้นภายหลังได้ถูกเรียกว่าจอมมารจากเผ่าปีศาจ』
「ชะเฮ้ย!?」
อยู่ๆเจอความจริงแบบนี้เลยเผลอส่งเสียงตกใจออกมา
ว่าแต่ จอมมาร!? จอมมารปรากฏตัวขึ้นจากตรงนี้เหรอ!?
『จอมมารได้รักษาบาดแผลให้กับเทพมังกรดำพร้อมกันนั้นก็เสนอให้เดินทางไปด้วยกัน
ในทีแรกถึงจะเป็นเผ่าปีศาจแต่ก็มีรูปร่างเป็นมนุษย์เทพมังกรดำเลยไม่เชื่อใจจอมมาร
แต่ก็ยังออกเดินทางไปด้วยกันโดยออกแนวกึ่งโดนบังคับ
และท่ามกลางการเดินทางอันยาวนานนั้นก็ทำให้ได้รับรู้ถึงความจริงใจของจอมมาร』
อย่างนี้นี่เอง............จอมมารเป็นคนช่วยเทพมังกรดำไว้สินะ
『จอมมารได้ออกเดินทางช่วยเหลือเผ่าปีศาจที่โดนมนุษย์กดขี่ข่มเหง
พร้อมกันนั้นก็ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน แม้อีกฝ่ายจะเป็นมนุษย์ก็ให้ความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกัน
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเดิมทีก็มีนิสัยที่เมินเฉยกับคนที่เดือดร้อนไม่ได้อยู่แล้ว
จอมมารเป็นเช่นนั้นจึงทำให้เทพมังกรดำเคารพนับถือในตัวจอมมาร』
..............อ อ้าว? มันชักจะต่างกับอิมเมจจอมมารของชั้นอยู่นะ................
『จอมมารได้ออกเดินทางอย่างต่อเนื่องมายาวนาน
พอรู้ตัวอีกทีก็มีเผ่าปีศาจทั้งหลายมารวมตัวกันจนถึงขั้นสถาปนาเป็นประเทศขึ้นมา
เทพมังกรที่เป็นเพื่อนตั้งแต่เริ่มแรกของจอมมารก็ได้ไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแบบเงียบๆ
ในประเทศที่จอมมารเป็นคนสถาปนาขึ้น ซึ่งเป็นประเทศที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม』
.........
『ทว่ามีเผ่าพันธุ์ที่ไม่พอใจในประเทศของเผ่าปีศาจปรากฏตัวขึ้น นั่นก็คือเผ่ามนุษย์นั่นเอง
มนุษยรู้สึกไม่พอใจอยู่แล้วที่พวกข้าทาสอย่างเผ่าปีศาจที่ต้องเชื่อฟังตนเอง
กลับมาก่อตั้งประเทศเหมือนมนุษย์แล้วใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสงบสุข
สาเหตุมาจากแม้จะไม่ใช่ทาสแล้วแต่ก็ยังต้องการเหนือกว่าเพื่อสนองกิเลสตัวเองตามอำเภอใจอยู่ดี』
..............
『ทว่าแม้ต้องการทำลายประเทศของจอมมารแต่ก็มีเทพมังรดำและเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย
และจุดสูงสุดนั้นก็เป็นจอมมารที่มีความมั่นใจในพลังอันมหาศาลจึงไม่อาจไปยุ่งด้วยได้
แล้วในช่วงเวลานั้นเองก็ได้มีประเทศหนึ่งทำพิธีอัญเชิญผู้กล้าสำเร็จ』
ส่วนผู้กล้าก็ปรากฏตัวจากตรงนี้.............
ถึงชั้นจะไม่ค่อยเข้าใจแต่การอัญเชิญผู้กล้ามีฉากหลังแบบนี้เองเหรอ.............
『การอัญเชิญผู้กล้าแบ่งได้ใหญ่ๆเป็น2แบบ
อย่างแรกการอัญเชิญผู้กล้าจากต่างโลกวิธีนี้จะทำให้ผู้กล้ามีพลังที่เหมาะสมกับการเป็นผู้กล้า
ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นอีกวิธีคือเป็นมนุษย์ที่ได้รับพลังของผู้กล้ามาตั้งแต่เกิด
ผู้กล้าได้ออกเดินทางไปยังประเทศของจอมมารทันทีและเข่นฆ่าเผ่าปีศาจไปเป็นจำนวนมาก
แม้เทพมังกรดำกับจอมมารจะออกมาหยุดยั้งการโจมตีของผู้กล้าด้วยตัวเอง
แต่พลังของเทพมังกรดำไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้กล้าทำให้ไปช่วยจอมมารช้าไปเพียงก้าวเดียว
เทพมังกรดำที่เห็นจอมมารถูกสังหารต่อหน้าต่อตาจึงปฏิเสธทุกอย่างบนโลกนี้แล้วออกอาละวาด
โดยหวังจะทำลายทุกอย่างให้หมดสิ้น..........
แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เทพมังกรเกือบถูกผู้กล้าจัดการจนต้องไปผนึกตัวเองอยู่ในดันเจี้ยน
ด้วยความที่ไม่อยากเสียสิ่งสำคัญไปอีกเป็นครั้งที่สอง ทำให้เทพมังกรมุ่งมั่น
เอาสิ่งต่างๆมากมายในดันเจี้ยนมาเป็นอาหารเพื่อเก็บสะสมพลัง
และเฝ้าคอยวันเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขใต้ร่มเงาของจอมมาร..............』
โฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!
ขอโทษ!ไม่เคยคิดถึงสถานภาพของเทพมังกรดำเลย!
จริงอยู่ที่ยกโทษให้ไม่ได้ที่ทำให้คุณอัลโทเรียได้รับบาดเจ็บ
แต่หลังจากที่อ่านเรื่องนี้แล้วชั้นจะไปโกรธลงได้ยังไงล่ะ.............!
ตอนกล่องสมบัติก็เหมือนกันถ้าพูดคุยกันดีๆล่ะก็อาจจะเข้าใจกันก็ได้.........!
ถ้าหากนี่เป็นเรื่องจริงล่ะก็ฝั่งมนุษย์นี่มันเศษเดนชัดๆ สุดจะเยียวยาเลย
ที่ชั้นเห็นด้วยเพราะมนุษย์น่ะพื้นฐานแล้วก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความอยาก
...........แถมในพวกนั้นยังมีมนุษย์ที่ทุ่มเทให้กับความอยากจนถึงขั้นรวมตัวกันเป็นกิลด์เลยด้วย
ซึ่งก็ไม่ปฏิเสธเช่นกันว่ายังมีศาสนาที่มีแนวคิดให้ละทิ้งซึ่งกิเลสอยู่
แต่ก็รู้สึกว่ามันเป็นความต้องการอย่างหนึ่งเหมือนกันนั่นแหละ
ก็นะ ในกรณีนั้นก็ถือเป็นความต้องการที่ดีล่ะนะ
และเพราะเรื่องในอดีตของเทพมังกรดำเลยทำให้รู้ถึงโชคชะตาของทั้งผู้กล้าและจอมมาร
ชั้นเองเพราะเป็นมนุษย์โดยพื้นฐานเลยมีความรู้สึกเอียงไปทางฝ่ายผู้กล้ามากกว่า
ถ้าหากจุดยืนเปลี่ยนไปแถมมีเรื่องราวแบบนี้ด้วยอาจจะไม่ได้คิดอย่างนี้ก็ได้
ตอนเด็กๆพ่อแม่ก็บอกอยู่บ่อยๆว่าให้ลองคิดจากมุมมองของอีกฝ่ายด้วย
แต่เพราะอคติกับความหัวแข็งเลยทำให้คิดตรรกะง่ายๆแบบนั้นไม่ได้
หรือก็คือเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายเองอาจจะมีเหตุผลอะไรอยู่ก็ได้
ถึงอาชญากรรมจะเป็นเรื่องที่ยกโทษให้ไม่ได้ แต่ว่าถ้ายังเจรจาประณีประณอมกันได้ล่ะ........
เพราะงั้นการเจรจาพูดคุยกันสักครั้งมันเป็นเรื่องที่สำคัญ
ชั้นที่อินไปกับความรู้สึกได้รู้ซึ้งถึงเรื่องที่ว่าพูดคุยกันดูสักครั้งเป็นสิ่งสำคัญ
ก็อ่านส่วนที่เขียนถึงช่วงชีวิตของเทพมังกรดำที่เหลือจนจบแล้วดูดสมุดโน๊ตเข้าไป
ประสบการณ์ที่มีเยอะที่สุดของเทพมังกรดำบอกได้เลยว่าเป็นการทำสงครามกับมนุษย์อย่างที่คิด
เพราะงั้นก็เลยได้รู้ถึงพวกวิธีการต่อสู้อันหลากหลายมา
ชั้นที่ตรวจดูจนถึงตอนนี้แล้วก็หันไปที่กล่องสมบัติต่อ
「เอาล่ะ............ได้เงินแล้วจะมีอะไรอีกน้า?」
ว่าแล้วก็เปิดกล่องสมบัติดูตามความอยากรู้อยากเห็นอย่างว่าง่าย
และแล้วก็เป็นถุงเงินกับเสื้อโค้ทยาวที่มีฮู้ดด้วยหนึ่งตัว
ก่อนอื่นก็ตรวจดูเงินที่อยู่ข้างในมีเหรียญทองกับทองคำขาวใส่ไว้มากมาย
........ว่าไงดีล่ะ รู้สึกว่าเงินเนี่ยมันเฟ้อจังแฮะ...............
ขณะที่เริ่มเวียนหัวนิดๆกับจำนวนเงินก็เอาไปเก็บไว้ในไอเท็มบ็อก
จากนั้นก็หยิบเสื้อโค้ทยาวอันสุดท้ายกางออกมาดู
เสื้อโค้ทนั้นตรงฮู้ดมีขนสัตว์สีขาวติดอยู่ด้วยโดยที่ทั้งตัวเป็นสีดำสนิท
ส่วนด้านหลังมีปักลายผ้าสีทองไว้ทำให้บรรยากาศดูหรูขึ้นมาอย่างประหลาด
........แบบว่าบรรยากาศมันดูจูนิเบียวโคตรๆ.............
แต่ว่าเสื้อคลุมที่แกะให้มาก็ไหม้ไปแล้วด้วยสิเพราะงั้นชั้นที่ต้องการวิธีซ่อนผมสีดำ
ก็มีแต่ต้องพึ่งเจ้าเสื้อโค้ทยาวตัวนี้แหละ ถึงบรรยากาศจะดูจูนิเบียวไปหน่อยแต่ก็เท่ห์ไม่เบา
ขณะที่คิดอย่างนั้นอยู่ชั้นก็ใช้สกิลตรวจสอบเสื้อโค้ทยาว
『เสื้อโค้ทยาวยอดบุรุษดำ』.......อุปกรณ์สวมใส่ระดับมายา
เสื้อโค้ทยาวที่บ่งบอกว่าได้เจอกับเทพมังกรดำซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งพลัง
ทนร้อนทนหนาว ในเสื้อโค้ทนี้จะมีการปรับอุณหภูมิของผู้สวมใส่ให้สบายอยู่เสมอ
ป้องกันการกระแทกและของมีคมเป็นเลิศ อาวุธปกติธรรมดาไม่สามารถทำให้เกิดริ้วรอยได้
พลังเวทมนตร์ทั้งหมดเพิ่มขึ้น เปื้อนยาก หากแต่ผู้สวมใส่จะถูกลดค่าประสบการณ์ที่ได้มากกว่าปกติ
「แบบว่าอะไรหลายๆอย่างมันสุดยอดเลยอ่ะ」
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ยังไงก็สุดยอดนั่นแหละ
ว่าแต่ประโยคสุดท้ายนี่ ถ้าใส่เข้าไปLvของชั้นจะขึ้นยากกว่าที่เป็นอยู่นี่สินะ?
เอาเถอะ ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องประสิทธิภาพในการเก็บLvสักหน่อยเพราะงั้นไม่สนใจหรอก..........
ยังไงก็ตามแต่สำหรับชั้นตอนนี้เสื้อโค้ทนี่มีองค์ประกอบที่ช่วยอะไรหลายๆอย่าง
ถึงจะทำให้Lvขึ้นยากแต่ก็มีทำให้พลังเวทเพิ่มขึ้นแถมยังมีพลังป้องกันอีกจะไม่ใส่ได้ไงล่ะ
ก่อนหน้าที่จะLvเพิ่มแล้วแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆอยากจะควบคุมพลังที่ชั้นมีอยู่ตอนนี้ให้ได้มากกว่าอีก
พอสวมเสื้อโค้ทยาวเข้าไปก็รู้สึกได้ทันทีว่าพอดีกับตัวชั้นจนน่าตกใจ
แบบว่า พักหลังๆมานี่ชั้นจะได้ของดีสะดวกใช้มาเป็นเพราะค่าโชคชองชั้นรึเปล่านะ?
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นอยู่ชั้นก็เก็บของหมดเรียบร้อยเลยไปหาซาเรียที่ดูแลคุณอัลโทเรียอยู่
「อ้ะ เซอิจิ!เรียบร้อยแล้วเหรอ?」
「ก็คร่าวๆอ่ะนะ」
「งั้นเหรอ...........จะว่าไปคุณแกะไม่เห็นมาเลย」
「เอ๋?」
พอซาเรียพูดชั้นก็นึกขึ้นมาได้
จริงด้วยแฮะ เคลียร์ดันเจี้ยนแล้วต่อให้แกะจะออกมาก็ไม่น่าแปลก
แต่คราวก่อนที่แกะออกมาก็บอกไว้ด้วยนี่นาว่าจะเป็นตอนที่เคลียร์ความหมายที่แท้จริงของดันเจี้ยนได้
กรณีของดันเจี้ยนนี้เงื่อนไขคือได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปกับจอมมารรึเปล่านะ?
.............จะยากไปไหนฟะเนี่ย
แล้วตอนที่หน้ามุ่ยกับความยากในการพิชิตความหมายที่แท้จริงของดันเจี้ยนนั่นเอง
ป๊อง!
อยู่ๆท่ามกลางความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรเลยก็เกิดระเบิดเล็กๆขึ้น
「อะไรน่ะ!」
「ไม่รู้สิ?」
ชั้นตั้งท่าเตรียมพร้อมโดยที่ซาเรียยังทำตัวสบายๆ
แบบว่า ชั้นที่ระวังตัวอยู่คนเดียวนี่ดูติงต๊องไปเลยไม่ใช่เหรอไง
พอมองดูจุดที่เกิดระเบิดเล็กๆก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งตกลงมา
「อ อะไรเนี่ย?」
ระวังตัวไว้พรางเก็บกระดาษที่ตกอยู่ขึ้นมา
กระดาษนั้นมีตัวอักษรอะไรเขียนไว้อยู่ด้วย
「เซอิจิ กระดาษนั่นคือ?」
「ม ไม่รู้สิ? แต่ก็มีอะไรเขียนไว้อยู่ด้วย...........」
แต่ว่านะไม่รู้ทำไม รู้สึกก่อนหน้านี้ไม่นานเหมือนเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน...........
ว่าแล้วชั้นก็อ่านตัวอักษรที่เขียนอยู่ในกระดาษ
『สวัสดีครับ คุณแกะเองครับ』
「ว่าแล้ว!」
รู้สึกได้อย่างบอกไม่ถูก!ตอนหมวกเกราะสวมหัวก็แบบนี้เลย!?
ขณะที่ตบมุขกับตัวอักษรที่เขียนในกระดาษ ซาเรียก็ถามมาอย่างยิ้มแย้ม
「เอ๋!? นั่นเป็นจดหมายจากคุณแกะเหรอ!?」
「เอ๋? อ อา ก็ ประมาณนั้นแหละ」
「อ่านหน่อยสิ อ่านหน่อยสิ!」
ซาเรียตาเป็นประกายพูดแบบนั้นชั้นเลยตกลงอ่านออกเสียงอีกครั้ง
『ก่อนอื่นก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับที่พิชิตดันเจี้ยนได้
เหนือสิ่งอื่นใดยังเลิกเป็นมนุษย์ได้อย่างราบรื่นอีกด้วยนะครับ』
หนวกหู!
『เอาล่ะ คิดว่าคงคาดเดากันได้แล้วว่าเพราะคราวนี้ไม่ได้พิชิตความหมายที่แท้จริง
เลยไม่สามารถพบกับกระผมได้ ............โธ่ ไม่ต้องทำหน้าเศร้าแบบนั้นก็ได้ครับ
ที่อยากเจอกระผมจนใจจะขาดน่ะก็พอเข้าใจอยู่หรอกครับ』
ทำไงดีล่ะ ชักอยากจะชกใส่แกะที่นี่เดี๋ยวนี้แล้วสิ
『ไม่ไหวๆ.........ยังคิดอะไรอันตรายไม่เปลี่ยนเลยนะครับ แต่ว่าไม่ต้องห่วงหรอก
ใจจริงของท่านเซอิจิที่ทำเป็นโมโหเนี่ยเข้าใจดีอยู่แล้วล่ะครับ .............เขินใช่มั้ยล่า?』
หนวกหูเฟ้ยยยยยยยยยยยยยยยย!
ว่าแต่รู้สึกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วนะ ทำไมถึงคุยกับเสียงในใจของชั้นได้ถูกเผงเลยฟะ!?
『ก็เพราะเป็นแกะไงครับ』
ไม่เห็นจะเข้าใจเลยเฟ้ย!
『เอาเถอะครับยังไงก็ตามแต่ที่กระผมจะบอกก็คือขอแสดงความยินดีกับการพิชิตดันเจี้ยน
ต่อจากนี้ไปก็พยายามพิชิตดันเจี้ยนเข้านะครับ และสุดท้ายนี้ถ้าได้พบกับท่านเซอิจิ
ที่หยุดการเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบมนุษย์ไปแล้วอีกครั้งคงน่าสนุกไม่เลว
ถ้างั้นคุณหนูซาเรียเองก็รักษาตัวด้วยนะครับByแกะผู้เป็นไอดอลของทุกคน』
...................
「ต้นยันจบ ไหลไปตามแกะหมดเลย..........」
「คุณแกะเองก็สบายดีเนอะ!」
อื้ม สบายดีก็ดีแล้วล่ะเนอะ? แต่ก็คิดว่าอยากให้ตายไปสักครั้งเหมือนกันแหละ
ขณะที่คิดอย่างนั้นอยู่ก็เจอที่เขียนต่อมาด้านล่าง
『ปล. กระผมจะไปVacationสักระยะเพราะงั้นช่วยอย่าพิชิตความจริงด้วยนะครับ』
「ทำงานสิเฟ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!」
ไม่รู้ทำไมถึงนึกภาพแกะในเกาะทางใต้ใส่ชุดอะโลฮ่ากำลังโต้คลื่นได้
แถมใส่แว่นกันแดดยกนิ้วโป้งมาครบเซ็ตให้ด้วยนะ
「คุณแกะได้หยุดอย่างสนุกสนานก็ดีเนอะ」
「ไม่อ่ะไม่อ่ะไม่อ่ะ!」
คุณซาเรียครับ แกะทั้งที่มีงานอยู่ยังบอกว่าจะไปเที่ยวอีกนะครับ? แล้วมันจะไปดีได้ไง!
ชั้นตบมุขหนักไปหน่อยเลยสงบลมหายใจที่หอบอยู่
「เฮ้อ..........ช่างมันเถอะ ยังไงก็ตามแต่คราวนี้แกะไม่มาสินะ」
「น่าเสียดายจัง」
ไม่ต้องมาชั่วชีวิตเลยก็ดี อ้ะ อย่างนั้นก็ไม่ได้ชกน่ะสิ...........
「เอาล่ะ ของที่ต้องเก็บก็เก็บแล้ว..............ที่เหลือแค่กลับ」
「อื้ม!รีบกลับกันเถอะ!」
ฟังที่ซาเรียตอบมาพลางเริ่มใช้เวทวาร์ป
「ซาเรีย จะเริ่มใช้เวทวาร์ปแล้วเพราะงั้นจับชั้นไว้นะ」
「ค่า!」
ซาเรียตอบกลับอย่างร่าเริงแล้วมาจับผ้าคลุมที่ชั้นใส่อยู่ทันที
「ดีล่ะ งั้นก็เหลือคุณอัลโทเรีย..........」
ชั้นเพิ่งเคยใช้เวทวาร์ปเป็นครั้งแรกเลยยังไม่รู้ประสิทธิภาพว่าเป็นยังไง
ก็เลยกะจะให้ทั้งสองคนแตะร่างกายชั้นไว้แล้วค่อยใช้เวททำเหมือนตอนมาดันเจี้ยนนี้
ถึงแม้อาจจะไม่เป็นไปตามที่ชั้นคิดไว้แต่ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงกลับได้ปลอดภัยเหมือนกันแหละ
เพื่อการนั้นก็เลยต้องให้คุณอัลโทเรียแตะตัวด้วย ส่วนจุดที่ชั้นจะวาร์ปไปนั้นเพราะมันเกี่ยวเนื่อง
กับการหลีกเลี่ยงความเด่นสะดุดตาเลยตั้งใจจะให้วาร์ปห่างไปจากเมืองหลวงนิดหน่อย
เกิดอยู่ๆพวกเราโผล่ไปกลางเมืองล่ะก็ได้แตกตื่นกันชัวร์
เพราะงั้นชั้นที่คิดแล้วว่าจำเป็นต้องเดินไปเลยอุ้มคุณอัลโทเรียไว้
แน่นอนว่าด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิง
「..............ไม่อยากเชื่อเลยว่าวันที่ได้อุ้มท่าเจ้าหญิงต่อเนื่องกันแบบนี้จะมาถึง」
ซาเรียที่จับหลังอยู่จะให้แบกก็ไม่ได้ซะด้วยก็ถ้าเกิดโดนกอดขึ้นมาอะไรหลายๆอย่างมันแย่แน่ๆ
ถึงปัญหาส่วนใหญ่จะมาจากด้านจิตใจของชั้นก็เถอะ ...........ก็รู้ๆกันนี่หว่าเจ้าพวกบ้านี่!
「ถ้างั้นก็กลับกันเถอะ!」
「อื้ม!」
ชั้นใช้『วาร์ป』ซึ่งเป็นหนึ่งในเวทมิติโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษกลับไปแถวๆเมืองหลวง
◆◇◆
「หือ.........โอ โอ้.............」
ชั้นเปิดตาที่ปิดโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะใช้เวทวาร์ปได้ส่งเสียงซาบซึ้งออกมา
「ถึงแล้วเหรอ?」
ที่ข้างหลังได้ยินเสียงของซาเรียโดยในมือชั้นมีคุณอัลโทเรียที่จับตัวไว้แน่นอยู่ด้วย
และแล้วสถานที่ๆพวกเราวาร์ปมาก็คือตรงที่ๆถูกวงเวทวาร์ปดึงติดไปกับคุณอัลโทเรีย
ซึ่งตรงหน้าสามารถมองเห็นกำแพงเมืองหลวงเทลเวล
「กลับมา..........ได้อย่างปลอดภัยแล้ว」
พึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
ถึงเวทวาร์ปจะใช้ออกมาได้ไม่เลวแต่เอาจริงๆก็กลัวนิดหน่อยเลยปิดตาไว้
เพราะงั้นเลยไม่รู้เลยว่าถูกวาร์ปมาได้ยังไง ถึงป่านนี้แล้วแต่ก็เสียดายเหมือนกันแฮะ
「ว่าแต่...........ความจริงจุดประสงค์ตอนแรกก็ตั้งใจมาปราบสไลม์กันนะแต่
คุณอัลโทเรียก็สลบอยู่ด้วยงั้นกลับเลยแล้วกัน」
「นั่นสิ แต่ว่านะแต่ว่านะ...........รู้สึกเหมือนไม่ได้กลับมานานยังไงไม่รู้สิ」
「เอ๋? ยังไงเหรอ?」
「อืมมมม...............เพราะอยู่ดันเจี้ยนตลอดมั้ง? เลยรู้สึกว่าไม่ได้กลับกิลด์นาน~อะไรแบบนี้」
「อ๋อ จะว่าไป..........」
ก็จริงนะ ถึงจะผ่านไปไม่ถึงวันแต่ก็รู้สึกเหมือนไม่ได้กลับมานานมาก
ที่เป็นขนาดนั้นเพราะเหตุการณ์ภายในดันเจี้ยนมันเข้มข้นรึเปล่านะ?
「ช่างมันเถอะ ไปกันดีกว่า」
「อื้ม」
แล้วพวกเราก็เดินมุ่งหน้าไปยังเทลเวล
เพราะไม่อยากเจอวาร์ปอีกครั้งระหว่างทางเลยเคลื่อนที่กันอย่างระมัดระวัง
แต่การระวังนั้นสุดท้ายก็จบด้วยแค่กังวลเกิดเหตุ
แล้วตอนที่เดินไปพลางคุยเรื่อยเปื่อยกับซาเรียนั่นเอง
「..........อือ ...........หือ?」
「อ้ะ คุณอัลโทเรีย!」
「ดีจังเลย รู้สึกตัวแล้ว」
คุณอัลโทเรียที่หมดสติมาตลอดในอ้อมแขนของชั้นลืมตาขึ้นมาแล้ว
เพราะคุณอัลโทเรียยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เลยมีสีหน้าเหม่อลอย
「ที่นี่คือ...........?」
「เมืองหลวงเทลเวลไง กลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้วครับ」
ใช่แล้ว พอยิ้มแย้มรายงานไปจากใต้ฮู้ดคุณอัลโทเรียก็พึมพำค่อยๆว่า「งั้นเหรอ」
แต่หลังจากเงียบไปซักพัก ก็มองขึ้นมาที่ชั้นอย่างรุนแรง
「อืม...........หา!? กลับมาแล้วงั้นเหรอ!?」
「ครับ ก็นี่ไง ดูตรงหน้าสิ」
พอคุณอัลโทเรีบเห็นกำแพงเมืองหลวงเทลเวลจากไกลๆก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา
「ก กลับมาแล้วจริงเหรอเนี่ย..............」
พอคุณอัลโทเรียพึมพำอย่างนั้นออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจก็รู้สึกตัวถึงความรู้สึกผิดปกติ
「หือ?..........เฮ้ย ทำไมข้าถึงเงยหน้ามองนายได้ใกล้แบบนี้ล่ะ?」
「เอ๋? ก็............ผมกำลังอุ้มคุณอัลโทเรียอยู่นี่นา」
「...............」
ตอนแรกก็เอียงคอเพราะไม่เข้าใจความหมายของสภาพที่พูด
แต่พอค่อยๆทำเข้าใจความหมายที่พูดก็-----------
「อ เอาลงนะ!」
「อุหวา!เดี๋ยว!อย่าอาละวาดสิ!」
「เอาลงเถอะน่า!ก่อนอื่นเลยมันหนักไม่ใช่เหรอไง!?」
「เอ๋? เบาจะตาย ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ?」
「~~~~อือ!ถึงนายจะไม่แต่ชั้นกังวลเฟ้ย!」
คุณอัลโทเรียที่หน้าแดงแป๋ดอาละวาดใหญ่เลยในอ้อมแขนของชั้น
แหม ก็เบาจริงๆนี่นา........... จริงอยู่ที่การถูกเพศตรงข้ามอุ้มไว้มันน่าอาย
แต่คุณอัลโทเรียสลบไปจากการสูญเสียพลังจากในการต่อสู้กับเทพมังกรดำนี่นา
เพราะงั้นเลยจำเป็นต้องอุ้มท่าเจ้าหญิงเอาไว้.............
「ยยยยยย ยังไงก็เอาลงซะ!ไม่งั้นชกแน่!」
「อย่าชกไปพูดไปสิครับ !」
เพราะคุณอัลโทเรีบอาละวาดมากขึ้นเรื่อยๆชั้นเลยต้องวางคุณอัลโทเรียบนพื้นโดยไม่เต็มใจ
ที่โดนชกมาก็ไม่ได้เจ็บอะไรหรอก อื้ม สมกับที่เป็นสเตตัสสัตว์ประหลาด!
「แฮ่ก.......แฮ่ก.......!」
คุณอัลโทเรียหอบหายใจ
พอสูดลมหายใจลึกๆหลายครั้งคุณอัลโทเรียก็เริ่มเดินด้วยตนเองแต่ทว่า............
「อ้ะ...........」
「โอ๊ะ」
พลังยังไม่กลับคืนมาทั้งตัวอย่างที่คิดเลยล้มลงไปทันทีจึงได้ไปประคองไหล่พยุงคุณอัลโทเรียเอาไว้
พอเห็นสภาพอย่างนั้นซาเรียเลยมาพูดกับคุณอัลโทเรีย
「ไม่ได้นะ? คุณอัลโทเรีย ถึงบาดแผลคุณอัลโทเรียจะหายแต่แรงยังไม่กลับมา
เพราะงั้นต้องให้เซอิจิอุ้ม!」
「หา!? จ จะไปทำเรื่องน่าอายแบบนั้นได้ไง!」
「แต่ว่าจนถึงเมื่อกี้ก็ยังอุ้มอยู่เลยนี่นา?」
「อ๊าาาาาาาาาาาาาา!น นั่นเพราะข้าหมดสติอยู่ต่างหาก...........!」
「ยัง ไง ก็ ตาม แต่ !คุณอัลโทเรียต้องให้เซอิจิอุ้ม!」
「บอกแล้วไงว่า---------」
「ไม่รับฟังใดๆทั้งสิ้น!」
แม้คุณอัลโทเรียจะดื้อปฏิเสธไม่ยอมให้ชั้นอุ้มแต่ด้วยบรรยากาศกดดัน
ที่คัดค้านอย่างจริงจังซึ่งไม่ค่อยจะได้เห็นของซาเรียสุดท้ายเลยทำได้แค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
「อุ อุอุ..............เฮ้อออออ......... เข้าใจแล้ว...........เข้าใจแล้วน่า!แค่ยอมให้อุ้มไปดีๆก็พอใช่มั้ย!?」
「อื้ม!」
ซาเรียที่พอใจกับคำตอบของคุณอัลโทเรียก็พยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม
「งั้นเซอิจิ อุ้มไปแบบตะกี้เลย!」
「โอ้ เอางั้นก็ได้............」
ทันทีที่สบสายตากัน คุณอัลโทเรียก็หน้าแดงแล้วเอียงสายตาไปด้านบน
「พ เพราะช่วยไม่ได้หรอกนะ!เซอิจิเองก็ผิดเหมือนกันแหละ!?」
「เอ๋? ค ครับ..........」
ถึงไม่ค่อยเข้าใจแต่เพราะยอมให้อุ้มแล้วเลยรีบเข้าไปอุ้มก่อนจะเปลี่ยนใจ
แล้วชั้นที่คิดอย่างนั้นก็เข้าไปอุ้มคุณอัลโทเรียท่าเจ้าหญิงแบบสบายๆเหมือนที่ทำตอนแรก
「อู..........」
คุณอัลโทเรียต้องมาอยู่สภาพนี้เลยหน้าแดงอยู่ในอ้อมแขนของชั้น
คนๆนี้ถึงภายนอกจะเป็นสาวสวยสุดๆแต่ตรงจุดนี้ก็น่ารักดีเหมือนกันแฮะ ขืนพูดไปโดนชกแน่เลย
ระหว่างที่คิดเรื่องน่าอ่ายแบบนั้นไปเงียบๆชั้นก็ก้าวเท้ามุ่งหน้าไปเทลเวลอีกครั้ง
ซึ่งความเงียบแบบนั้นดำเนินไปซักพัก
ก็ไม่ใช่ว่าเพราะอึดอัดใจอะไรหรอกแต่คุณอัลโทเรียเล่นก้มหน้าตลอดตอนที่อยู่ในอ้อมแขนของชั้น
มีลังเลว่าจะส่งเสียงเรียกไปดีรึเปล่าซึ่งสุดท้ายก็เงียบต่อไป .........อย่างนี้เรียกว่าอึดอัดใจก็ได้มั้ง
ซาเรียที่ร่าเริงอยู่คนเดียวทำหน้ายิ้มๆมองดูสภาพชั้นกับคุณอัลโทเรีย
แต่บางครั้งก็ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไล่ตามผีเสื้อที่พบเห็น
ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางความเงียบที่ดำเนินมาตลอดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จู่ๆคุณอัลโทเรียก็เปิดปากพูดขึ้นมาทำลายความเงียบ
「............โทษทีนะ」
「เอ๋?」
อยู่ดีๆมาขอโทษ ชั้นเลยส่งเสียงงงๆออกมา
ว่าแต่ มาขอโทษชั้นทำไมล่ะ?
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นอยู่ คุณอัลโทเรียก็พูดด้วยเสียงค่อย
「..........เรื่องนั้น............เพราะไปพัวพันกับโชคร้ายของข้า..........」
「เอ๋? อ อ๋อ เรื่องนั้น----------」
「ก็เรื่องนั้นนั่นแหละที่ต้องขอโทษ!」
อยู่ดีๆคุณอัลโทเรียก็พูดด้วยน้ำเสียงรุนแรงทำเอาชั้นตัวแข็งไปเลย
ส่วนซาเรียวิ่งไปตรงนั้นตรงนี้อยู่คนเดียวเสียงคุณอัลโทเรียเลยไปไม่ถึง
「ข้า.........!ทำให้พวกนายต้องมาพัวพันจนอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายนะ!?
อย่างนั้นแล้ว............จะให้ปล่อยผ่านไปเฉยๆได้ยังไงล่ะ!?」
「.............」
เรื่องนั้นก็...........อืม ท่าทางชั้นที่ตอบกลับไปง่ายๆผิดเองแหละ
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของคุณอัลโทเรียแต่สำหรับคุณอัลโทเรีย
สิ่งที่พูดมาเมื่อตะกี้เป็นสิ่งที่ปล่อยผ่านไปเฉยๆไม่ได้
ขณะที่ฟังคำพูดของคุณอัลโทเรียอย่างเงียบๆจู่ๆคุณอัลโทเรียก็พึมพำอะไรสักอย่างด้วยเสียงค่อย
แล้วเอาแผ่นโปร่งแสงที่ลอยอยู่กลางอากาศมาให้ชั้นดู
「...........นี่คือสเตตัสของข้า ดูซะสิ」
「เอ แต่ว่า...........」
「เอาเถอะน่า .........แต่ก็นะ อาจจะระแคะระคายอยู่แล้วก็ได้มั้ง」
อุ้มคุณอัลโทเรียไปพลางฝืนตรวจดูสเตตัสของคุณอัลโทเรียที่ยัดเยียดมาให้อย่างละเอียด
และแล้วที่ตรงนั้นก็มีสเตตัสอันเหลือเชื่อเขียนไว้อยู่
≪อัลโทเรีย เกรม≫
เผ่าพันธุ์:มนุษย์
เพศ:หญิง
อาชีพ:นักรบ
อายุ:19
เลเวล:123
พลังเวท:100
พลังโจมตี:5000
พลังป้องกัน:3824
ว่องไว:4200
โจมตีเวท:345
ป้องกันเวท:2221
โชค:-2000000 【ผู้แบกรับภัยพิบัติ】
เสน่ห์:ไม่สามารถวัดได้
「!?」
สเตตัสเหลือเชื่อจนชั้นพูดอะไรไม่ออก
เสน่ห์วัดไม่ได้นี่เข้าใจได้ไม่ยาก ก็คุณอัลโทเรียสวยสุดๆเลยนี่นา
ถึงLv123แต่มีตัวเลขสเตตัสคนละเรื่องกับชั้นนี่ก็ช็อกอยู่บ้างแต่ก็อยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้
แต่ว่านะ..........ค่าโชคนี่มันอะไรกัน?
ถ้าไม่นับค่าที่มันติดลบนี่เยอะกว่าชั้นไปแบบเหลือๆ
ยิ่งกว่านั้นข้างๆยังมีของเหมือนฉายาที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรใส่ไว้ด้วย..........
ขณะที่คิดอะไรหลายๆอย่างในหัวอยู่คุณอัลโทเรียก็อธิบายขึ้นมาอย่างเปล่าเปลี่ยว
「ค่าโชคของข้า.........เหลือเชื่อเลยใช่มั้ยล่ะ?
เจ้าเป็นผลมาจาก【ผู้แบกรับภัยพิบัติ】ที่เขียนไว้ข้างๆนี่แหละ」
「ผู้แบกรับภัยพิบัติ?」
「ใช่แล้ว มันเป็นคำสาปที่ข้าได้รับมาตั้งแต่เกิด ผลมันก็ง่ายๆ
มันทำให้ค่าโชคเป็นติดลบ............ก็แค่นั้นแหละ」
เรื่องนั้นสรุปคือที่ค่าโชคของคุณอัลโทเรียเป็นติดลบมาจากเจ้านี่เองเหรอ.........
ถ้าเกิดไม่มีคำสาปนี้ล่ะก็คุณอัลโทเรียจะมีค่าโชคเยอะกว่าของชั้นซะอีก
เป็นเพราะอะไรกัน...........
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นอยู่คุณอัลโทเรียก็พอจะเดาความคิดของชั้นออกเลยบอกมาให้
「ก็นะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมีคำสาปนี้ได้ แต่เพราะคำสาปนี้เลยเจอหายนะตั้งไม่รู้กี่ครั้ง......
ยิ่งกว่านั้นถ้าที่เจอหายนะมันแค่ข้าก็ดีหรอก แต่ที่ทนไม่ได้คือความเสียหายของคำสาป
มันส่งผลไปถึงผู้คนรอบข้างข้าด้วยนี่แหละ」
「............」
「ที่เทลเวลเขารู้สภาพของข้ากันหมดแล้วและก็ได้คนๆหนึ่งช่วยกางเขตแดนพิเศษทั่วเมืองไว้ให้
ด้วยสิ่งนั้นแม้จะเป็นการรบกวนผู้คนที่เกี่ยวข้องด้วยแต่ก็ทำให้ทั้งเมืองไม่ต้องเจอโชคร้าย
เพราะงั้นโดยพื้นฐานแล้วข้าเลยออกห่างจากเทลเวลไม่ได้
หากไปเมืองอื่นขึ้นมาเพียงแค่นั้นก็ทำให้รอบข้างโชคร้ายกันได้แล้วล่ะ...............」
สิ่งที่เรียกว่าคำสาปของคุณอัลโทเรียไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองโชคร้าย ยังทำให้รอบข้างโชคร้ายไปด้วย......
ตอนที่ชั้นรับรู้ถึงเรื่องนั้นก็โกรธกับความไร้เหตุผลจนแทบจะระเบิดออกมา
ทำไมคนดีแบบนี้ถึงต้องมาเจอกันความขมขื่นแบบนี้ด้วย.............
「เพราะแบบนั้นแหละ ทุกคนเลยหลีกหนีข้ากัน แน่นอนถึงมันเศร้า
แต่การที่ต้องมาทำให้รอบข้างเจอโชคร้ายเพราะข้า............มันทำให้เศร้าเสียใจมากกว่าอีก」
「.............」
「คำสาปของข้าไม่มีวิธีแก้ คนที่กางเขตแดนเองก็ช่วยหาหลายๆวิธีเพื่อข้าแล้ว
แต่สุดท้ายก็ไม่เจอ เพราะงั้นต่อจากนี้ไปข้าก็ยังคงทำให้รอบข้างต้องโชคร้ายกันต่อไป
ข้ามันเป็นคนที่ไม่ต้องการสำหรับโลกนี้ การที่โชคร้ายของข้าดึงพวกนายเข้ามาด้วยน่ะ.........
ต้องขอโทษ.............ด้วยจริงๆ................」
คุณอัลโทเรียพูดถึงตรงนั้นแล้วก็ก้มหน้าลง
ชั้นนี่มันบ้าจริงๆ ทั้งที่คนเขากลุ้มใจจริงจังถึงขนาดนั้นแล้วยังไม่รู้ตัวอีก
สุดท้ายก็เลยไปเปิดแผลใจของคุณอัลโทเรียเข้า ชั้นที่ตอบไปโดยไม่ใส่ใจนี่มันน่าโดนชกซะจริง
แม้จะเป็นผลจากความไม่ใส่ใจแต่กลับทำให้ได้รู้เรื่องของคุณอัลโทเรียก็เลยรู้สึกดีใจไปด้วย
ตอนที่รับทำคำร้องขอก็รู้สึกถึงบรรยากาศเข้าใกล้ได้ยากจากตรงไหนซักแห่งแต่ก็ไม่ได้รู้ถึงเหตุผลนั้น
การที่ได้อุ้มคุณอัลโทเรียเลยได้รู้ถึงเรื่องนั้น และกับคุณอัลโทเรียที่สารภาพเรื่องนั้นออกมา
ชั้นเองก็มีประโยคหนึ่งที่อยากจะบอกออกไป
นั่นคืออยากจะช่วยเยียวยาหัวใจของคุณอัลโทเรียเหลือเกินแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี
เป็นไปได้ด้วยว่าแทนที่จะช่วยกลับไปซ้ำเติมแผลอีก
แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะบอกออกไป
「คุณอัลโทเรีย ผมไม่เคยรู้สึกว่าโชคร้ายเลยที่ได้มาเจอคุณนะ」
「............เอ๋?」
「แน่นอนไม่ใช่แค่ผม ซาเรียเองก็รู้สึกอย่างนั้นด้วย」
「..............」
「จริงอยู่ที่ครั้งนี้ถูกดึงไปพัวพันกับเหตุการณ์ที่ถ้าพลาดไปก้าวเดียวก็ตาย
แต่ว่า..........ก็ยังรอดกันมาได้ ทั้งผมและซาเรีย..........ยังปลอดภัยกันดีอยู่นะครับ」
「!」
「แม้ปลอดภัยแต่ก็ต้องลำบากอยู่บ้าง แต่ว่าช่วงเวลาที่คุณอัลโทเรียเป็นผู้คุมสอบให้กับพวกเรา
ช่วงเวลานั้นมันวิเศษเกินพอที่จะลบล้างความลำบากนั้น เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเลยล่ะครับ」
「............」
「คุณอัลโทเรีย คุณน่ะบอกว่าทำให้พวกเราโชคร้ายกันสินะ?」
「............」
กับคำถามของชั้นนั้นคุณอัลโทเรียที่ยังก้มหน้าอยู่ก็พยักหน้ามาให้เล็กน้อย
「จะทุกข์จะสุขสุดท้ายมันก็อยู่ที่คนๆนั้น ถ้าคนๆนั้นคิดว่าทุกข์ คนๆนั้นก็จะรู้สึกเป็นทุกข์
กลับกันแม้คนรอบข้างจะมองว่าน่าสงสารแต่ถ้าเจ้าตัวมีความสุขล่ะก็มันก็คือความสุขนั่นแหละครับ
และสำหรับผมกับซาเรีย ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคุณอัลโทเรียนั้น-------ไม่เคยรู้สึกว่าโชคร้ายเลยสักนิด
สำหีบเรื่องที่คุณอัลโทเรียพูดยังไงก็ขอปฏิเสธแน่นอนครับ」
「................อึก」
「คุณอัลโทเรีย คุณน่ะไม่ใช่คนที่ไม่มีใครต้องการ
เพราะงั้น...........เลิกพูดอะไรที่เป็นการดูถูกตัวเองเถอะนะครับ」
「............」
พอพูดถึงตรงนั้นเสร็จคุณอัลโทเรียที่ก้มหน้ามาตลอดก็หันหน้ามาทางชั้น
ทำให้โกรธไปรึเปล่าน้า? ไปซ้ำเติมแผลเข้าอีกมั้ยหว่า?
แต่เรื่องที่พูดเมื่อกี้น่ะมากจากใจชั้นเลยนะ เพราะงั้นเลยต้องบอกออกไปให้ได้
แล้วระหว่างชั้นกับคุณอัลโทเรียมีความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง
ซาเรียที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวจนถึงเมื่อกี้ก็วิ่งเข้ามาหา
และพอก็มาถึงชั้นที่กำลังอุ้มคุณอัลโทเรียอยู่ก็
「คุณอัลโทเรีย!ฮึบ!」
「!」
ซาเรียที่เข้ามาใกล้คุณอัลโทเรียก็สวมกอดคุณอัลโทเรียที่ชั้นอุ้มอยู่เอาไว้แน่นทั้งอย่างนั้น
「ถ้าคุณอัลโทเรียรู้สึกว่าโชคร้ายล่ะก็ฉันจะแบ่งความโชคดีให้เอง!
ก็คนดีขนาดนี้โชคร้ายต่างหากล่ะที่ผิด!」
「..........ฮะฮะ」
ชั้นหลุดยิ้มออกมากับคำพูดของซาเรีย
ทั้งที่เอะอะเจี๊ยวจ๊าวอยู่จนถึงตะกี้แท้ๆทำไมซาเรียยังมองสิ่งที่คุณอัลโทเรียแบกรับอยู่ออกได้นะ?
เป็นความเฉียบแหลมของสัตว์ป่าที่ต่างกับมนุษย์อะไรแบบนั้นเหรอ?
จะอะไรก็ช่าง ซาเรียนี่เก่งในการเยียวยาหัวใจผู้คนจัง แถมตรงที่ทำไปโดยไม่รู้ตัวนี่แหละสุดยอด
คุณอัลโทเรียที่ถูกกอดเอาไว้แน่นในช่วงนั้นก็ปิดปากเงียบก้มหน้าอยู่ตลอด
หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเป็นพิเศษ
แต่ความเงียบนั้นต่างจากความเงียบในตอนแรกเป็นความเงียบที่รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
ระหว่างที่เดินกันต่อไปเงียบๆในที่สุดก็มาถึงประตูเมืองเทลเวล
「.............หืม?」
มาถึงก็ดีอยู่หรอกแต่ทำไมแถวๆประตูเอะอะกันจัง
「เจออะไรกันรึเปล่าน้า?」
ซาเรียเองพอรู้สึกถึงความวุ่นวายนั้นก็ถามออกมา
ชั้นเองก็ไม่รู้เลยเอียงคอตาม
แต่พอคนคุ้นหน้าพวกชั้นรู้สึกตัวก็แสดงสีหน้าตกใจแล้ววิ่งเข้ามาหา
「เฮ้ย เซอิจินี่นา!แล้วก็คุณหนูซาเรียกับอัลโทเรียด้วย!」
「อ้ะ โครส」
ที่วิ่งเข้ามาหานั้นคือโครสที่เป็นทหารของเทลเวล
พอรู้สึกว่าโครสนั้นมีสีหน้าเอาเป็นเอาตายเพราะอะไรสักอย่างก็ถูกสอบถามมาอย่างรวดเร็ว
「พวกนายจนถึงตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนกันมา!? เป็นห่วงนะเฟ้ย!?」
「หา?」
เพราะเป็นคำถามที่ดูค่องข้างโกรธกันชั้นก็เลยหลุดเสียงงงๆออกมา
「ก็เล่นไปปราบสไลม์แล้วไม่กลับมากันตั้ง3วันนี่หว่า.........ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่!」
「ด เดี๋ยวนะ!」
ชั้นหยุดพูดกับโครสไปแป๊ปนึงเพื่อใช้สมอง
ตะกี้ โครสพูดว่าอะไรนะ? รู้สึกจะพูดว่าไม่กลับมา3วันประมาณนี้?
「น นี่โครส ที่พวกชั้นออกไปปราบสไลม์มันพึ่งผ่านไปวันนึงเองไม่ใช่เหรอ?」
แม้จะรู้สึกไม่น่าเชื่อแต่ก็ถามกลับไปตรงๆ
แต่กับคำถามนั้นโครสก็ตอบโดยขมวดคิ้วไปด้วย
「พูดอะไรออกมาน่ะ ก็บอกไปแล้วนี่นาว่า3วัน」
「「「................」」」
คำพูดของโครสทำให้ทั้งชั้น ซาเรีย คุณอัลโทเรียต่างพูดอะไรไม่ออก
สรุปคือเวลาที่อยู่ในดันเจี้ยนนั่นภายนอกมันผ่านไป3วันเลยงั้นเหรอ...............
พอมองดูท่าทางที่ตะลึงของพวกเรา โครสก็พอจะคาดเดาอะไรได้เลยลดความตึงเครียดในตอนแรก
คราวนี้กลายเป็นสีหน้าผ่อนคลายแทน
「ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจหรอกนะ...............แต่ยังไงก็เถอะพวกนายปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะ
ตะกี้ก็คิดจะออกค้นหาพวกนายกันอยู่พอดี」
「เอ๋?」
อ ออกค้นหาเหรอ?
「โครส หรือว่าแค่พวกเรา3คนหายไป
ก็ไปรวบรวมผู้คนที่อยู่ตรงแถวๆประตูนั่นเพื่อออกค้นหางั้นเหรอ?」
พอถามเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ออกไป โครสพูดด้วยท่าทางแบบไม่ใส่ใจกลับมา
「ก็ใช่น่ะสิ? คนรู้จักหายไปเป็นใครก็ต้องห่วงจนออกค้นหากันอยู่แล้ว」
「「「...........」」」
พวกเรา3คนอึ้งกันไปอีกครั้ง
ทั่วไปต่อให้คนรู้จักอยู่ๆหายไปก็ไม่ออกค้นหากันหรอก
ทั้งที่เป็นอย่างนั้นพวกโครสก็ยังรวมตัวกันเพื่อออกค้นหาพวกชั้น
ตรงหน้าพวกเราที่พูดอะไรไม่ออกโครสก็ตะโกนไปบอกผู้คนที่มารวมตัวกัน
「โฮ้ยยยยย!ทั้ง3คนกลับมาแล้ว!ขอบใจนะพวกนายที่มารวมตัวกัน!」
พวกที่ได้ยินคำพูดของโครสทุกคนต่างมีสีหน้าหมดห่วงแล้วเข้ามาพูดคุยกับพวกชั้นเรื่อยๆ
「โอ้!ค่อยยังชั่วหน่อย!」
「ทำให้เป็นห่วงซะได้?」
「ต่อไปก็อย่าจู่ๆหายไปแบบนี้อีกล่ะ」
ทุกคนพูดพลางยิ้มให้พวกเราแล้วก็กลับเข้าไปด้านในประตูกันทั้งอย่างนั้น
「เอาล่ะ ไหนๆพวกนายก็กลับกันมาอย่างปลอดภัยแล้ว ชั้นก็กลับไปทำงานต่อล่ะ」
โครสเองก็บิดขี้เกียจพลางพูดออกมา
จากนั้นก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้เลยพูดกับพวกเรา
「อ้ะ จริงสิ เรื่องของพวกนาย พรรคพวกในกิลด์ก็เป็นห่วงกันนะ?
รีบกลับไปให้เห็นหน้าด้วยล่ะ」
พูดเสร็จโครสก็เดินไปทางประตูเมือง
ว่าแต่ป่านนี้แล้วยังไม่เห็นมีใครอยากรู้อยากเห็นเรื่องที่ชั้นอุ้มคุณอัลโทเรียท่าเจ้าหญิงซักคน
เลยได้แต่สงสัยอยู่เงียบๆ พอพวกเราทำระเบียบการกันเรียบร้อยก็เข้าไปในเมือง
ระหว่างทางที่จะโผล่หน้าไปที่กิลด์ ผู้คนในเมืองที่เห็นคุณอัลโทเรียต่างแสดงสีหน้าโล่งอกกันออกมา
แต่ก็มีบางคนที่ทำหน้าสงสัยเรื่องที่ชั้นอุ้มคุณอัลโทเรียเอาไว้
ขณะที่เดินไปโดยมีผู้คนทำสีหน้ากันเช่นนั้นแล้วมองตามไม่นานนักก็มาถึงกิลด์
มีสิ่งที่แปลกคือปกติจะได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายออกมาจากกิลด์
แต่กลับรู้สึกถึงบรรยากาศที่เร่งร้อนกันแทน
พอเอียงคอพลางเก้าเท้าเข้าไปในกิดล์พวกเราก็อึ้งจนพูดไม่ออกกับสภาพที่เปลี่ยนไปจากปกติอีกครั้ง
「เฮ้ย ได้ข้อมูลรึยัง!」
「ไม่ ก็เหมือนเดินนั่นแหละ」
「ข้อมูลใหม่!ไม่รู้ว่าอะไรแต่เมื่อ3วันก่อน มีคนเห็นปรากฏการณ์หายไปกะทันหันของสไลม์
ที่สู้กับอัลโทเรียอยู่ด้วย」
「ฉันก็มี พอดีไปสนิทสนมกับเด็กน้อยเพื่อหาข้อมูล..........เลยได้ร้านขนมเด็ดๆมาล่ะ」
「「「ไปหาข้อมูลมาดีๆซะ!」」」
「.............ขอโทษครับ」
ไม่ใช่แฮะ ยังมีบางคนเหมือนเดิมแต่ถึงอย่างนั้นทุกคนต่างก็มีสีหน้าจริงจัง
ตรวจสอบสิ่งที่ดูเป็นเอกสารตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง
ขณะที่ยังรู้สึกประหลาดใจจนปิดไม่ปิดกับความแตกต่างจากเดิม
กัลซุสที่มองดูเอกสารด้วยสีหน้าจริงจังจนถึงตอนนี้ก็สังเกตุเห็นพวกเรา
「หือ? อ โอ้ๆๆ! อัลโทเรียคุง!เซอิจิคุง!ซาเรียคุง!」
พอได้ยินเสียงของกัลซุสสายตาก็หันมาทางพวกเราโดยพร้อมเพรียงกัน
「ทำให้เป็นห่วงซะได้! ไปที่ไหนกันมา!」
กัลซุสวิ่งมาทางพวกเราแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง
「เอ่อ........พวกเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แบบว่า...... พวกเราดันไปเหยียบเวทวาร์ปที่ถูกโปรยไว้ด้วยกัน
กับคุณอัลโทเรียเลยถูกส่งไปดันเจี้ยนแปลก จากนั้นก็พยายามยามหลายๆอย่าง..........จนกลับมาได้น่ะ」
อธิบายซะย่อน่าดูแต่กัลซุสก็ไม่ได้แสดงออกมาว่าใส่ใจเนื้อหาแถมแสดงสีหน้าโล่งอกจากใจมาอีก
「งั้นเหรอ.........ค่อยยังชั่วหน่อย แต่อัลโทเรียคุงก็ดูฝืนตัวเองไปเหมือนกันนะ.........」
「.............」
พอมองคุณอัลโทเรียที่ชั้นอุ้มอยู่กัลซุสก็พึมพำออกมา
แล้วคราวนี้ก็ถึงตาชั้นถามเรื่องที่สงสัยบ้าง
「ว่าแต่สงสัยมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วน่ะ.........คือว่าทุกคนทำอะไรกันอยู่เหรอ?」
「หือ? อ๋อ พวกเขาทุกคนเพื่อที่จะหาพวกเธอเลยไปรวบรวมข้อมูลกันมาน่ะ」
「เอ๋? ท ทำไมล่ะ?」
ถามอย่างนั้นออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจแต่กัลซุสกลับเอียงคอให้
「ทำไมล่ะ..........พวกพ้องหายตัวไปทุกคนก็ต้องออกตามหากันอยู่แล้วนี่นา?」
เหมือนกับว่าทำไมถึงถามเรื่องที่มันแน่นอนอยู่แล้วกัลซุสเลยตอบกลับมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
แล้วจากตรงที่เดิมที่พวกเรายืนอึ้งกันนั่นเองคุณเอลิสที่ไปหาข้อมูลจากที่อื่นก็เข้ามา
「คุณกัลซุส ทางนี้............อ้ะ คุณอัลโทเรีย!?」
พอสังเหตุเห็นพวกเราก็วิ่งมาด้วยความเร็วสูงเบียดกัลซุสที่คิดอยู่จนกระเด็น
「ปลอดภัยดีมั้ยคะ!? ที่ต้องให้คุณเซอิจิอุ้มให้นี่.............」
「อ อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก」
พอคุณอัลโทเรียที่เงียบมาตลอดตอบกลับไปคุณเอลิสก็แสดงสีหน้าโล่งใจออกมา
「ค ค่อยยังชั่วหน่อย ปลอดภัยจริงๆด้วยนะคะ.........」
คุณเอลิสพูดพลางมีน้ำตาไหลออกมาจากขอบตา
ดูท่าพวกเราจะทำให้ทุกคนเป็นห่วงจริงๆแฮะ
กัลซุสเมื่อยืนยันความปลอดภัยของพวกเราได้แล้วก็ตะโกนบอกกับทุกคนภายในกิลด์
「ทุกคน!พวกอัลโทเรียคุงกลับมาแล้ว!
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!ทำเอากล้ามเนื้อของฉันดีใจสุดขีดไปเลยล่ะ...............!」
เพียงคำพูดสั้นๆนั้นของกัลซุส ทุกคนก็โห่ร้องยินดีกันออกมา
「ดีจัง!เท่านี้ก็จะได้ไปแอบถ่ายโดยไม่ต้องเกรงใจซักที!」
「อื้ม ปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะ!เพื่อเป็นการฉลองสำหรับวันนี้
ไปแก้ผ้าที่หน้าพระราชวังอย่างเร่าร้อนดีกว่า!」
「ฉันขอไปแบ่นปันความยินดีกับเหล่าเด็กน้อยด้วยคน!」
「เฮ้ย พวกเรา!มาพังกิลด์นี้เป็นของขวัญให้แก่การกลับมาของพวกอัลโทเรียหน่อยเป็นไง!」
「「「เฮ้ยเจ้าบ้าหยุดเลยนะเฟ้ย!」」」
พริบตาเดียวก็เริ่มปลดปล่อยความอยากของตัวเองออกมาซะแล้ว
แตกต่างกับความสับสนวุ่นวายภายในกิลด์เมื่อกี้คนละเรื่องเลย
คุณเอลิสลุกขึ้นมาเอาแส้ฟาดตาลุงวิปริตส่วนกัลซุสก็ขึ้นไปยืนบนโต๊ะแล้วเบ่งกล้ามโชว์กับเชาด้วย
พวกเราที่ได้แต่ยืนอึ้งมองความวุ่นวายแบบนั้นของกิลด์ก็เข้าใจขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง
ตามที่ได้เห็นจากอดีตของเทพมังกรดำ มนุษย์นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความอยากอย่างที่คิด
แต่ถ้ามองกลับกัน หากไม่มีความอยากคงไม่อาจจะเรียกว่ามนุษย์ได้หรอก
โดยเฉพาะกิลด์ที่ชั้นอยู่ในตอนนี้ซึ่งมีเจ้าคนที่เต็มไปด้วยความอยากอยู่มากมาย
มนุษย์อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่สกปรกและน่ารังเกียจ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด........ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่อบอุ่นและอ่อนโยนด้วยเช่นกัน
ความอบอุ่นของผู้คนซึ่งเป็นสิ่งที่ชั้นปฏิเสธไปในโลกเก่า
ทั้งที่พวกเคนจิกับโชตะต่างเป็นห่วงเรื่องของชั้นแต่กลับปฏิเสธมันไป
เรื่องนั้นมันช่างอ้างว้างยิ่งนัก
แม้มนุษย์จะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ตัวคนเดียวไม่ได้แต่เรื่องนั้นทำให้รู้สึกเดียวดายเพียงใดกันล่ะ
ชั้นที่รู้สึกขมขื่นจากการปฏิเสธความอบอุ่นของผู้คน
ไม่อยากให้คุณอัลโทเรียมีความคิดแบบเดียวกัน
ชั้นเลยพูดกับคุณอัลโทเรียที่ยังคงอึ้งอยู่ในอ้อมแขนของชั้น
「คุณอัลโทเรีย พวกคนที่คุณคิดว่าทำให้โชคร้ายไป..........ทุกคนก็ดูมีความสุขดีกันนะครับ」
「...........」
「คุณน่ะเป็นคนที่มีความสำคัญมากกว่าที่คุณคิด ถึงขนาดที่ว่ามีแต่คนที่อบอุ่นใจดีมารายล้อม
แม้จะซื่อตรงกับความต้องการของตัวเองไปหน่อยก็เถอะ............」
「.................」
「เชื่อมั่นในผู้คนรอบข้างมากกว่านี้เถอะครับ ช่วยพึ่งพิงบ้าง อย่าให้ตัวเองแบกรับไว้อยู่คนเดียวเลย
ลองมองไปรอบๆสิครับ ..............มีแต่ผู้ที่ยินดีกับการกลับมาของคุณทั้งนั้น」
「...........」
「คุณน่ะไม่ใช่ตัวซวยหรอก คำพูดมันอาจจะน่าอายไปบ้างแต่...........คุณน่ะเป็นที่รักต่างหากล่ะครับ」
「อึก」
「ขอพูดอีกครั้งนะครับ คุณน่ะไม่ใช่ตัวซวย หรือ----------≪ภัยพิบัติ≫อะไรทั้งนั้น」
「!」
「เป็นเพียงเจ๊สาวจอมวุ่นวายที่ใจดีและมีสภาพที่สร้างปัญหาให้นิดหน่อยเท่านั้นเอง
ทั้งผมและซาเรีย..........บางทีทุกคนในกิลด์นี้ด้วยต่างก็ไม่ใส่ใจสภาพที่เป็นอยู่ของคุณกันทั้งนั้น
ทุกคนน่ะชอบสิ่งที่คุณเป็นทั้งหมดนั่นแหละ」
「..........」
「ผู้คนที่คุณคิดว่าทำให้โชคร้ายมีความสุขกันมากว่าที่จะคิดว่าถูกดึงให้โชคร้ายไปด้วย
-----------ก็เพราะได้คุณช่วยไว้นี่แหละครับ」
「------------」
พอถูไถบอกออกไปเป็นคำพูดได้แต่ก็ยากจริงแฮะ
การส่งความรู้สึกให้อีกฝ่ายนี่มันยากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย............
แต่พอคิดว่าถึงคำพูดจะไม่สวยหรูเท่าไรแต่ก็น่าจะพอส่งความรู้สึกไปถึงคุณอัลโทเรียได้
จู่ๆคุณอัลโทเรียก็ผละออกจากแขนของชั้นแล้ววิ่งออกนอกกิลด์ไปเลย
..............
อ้าว?
「เดี๋ยวสิ!ทำไมอ่ะ!? น หนีกันซะงั้น!?」
มันกะทันหันเกินไปอาการตกใจของชั้นเลยออกมาช้าไปหน่อย
ว่าแต่ ทำไมกันล่ะ!? คำพูดของชั้นมันแทงใจถึงขนาดนั้นเลยเหรอ!?
ขณะที่อ้าปากพะงาบๆอยู่ตรงนั้นซาเรียก็หันมาพูดกับชั้น
「เซอิจิ!ไล่ตามคุณอัลโทเรียไปสิ!」
「เอ๋? ต แต่ว่า............」
「ไม่เป็นไรหรอก!ความรู้สึกของเซอิจิต้องส่งไปถึงอยู่แล้ว เนอะ?」
เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งอะไรแบบนี้ ทำเอาผู้ชายอย่างชั้นน่าเวทนาไปเลย
แต่เพราะได้ซาเรียนี่แหละความคิดอันสับสนในหัวเลยปลอดโปร่งขึ้นมา
ไม่จำเป็นต้องไปคิดอะไรมาก ไล่ตามคุณอัลโทเรียไปซะ มันก็แค่นั้นแหละ
「เข้าใจแล้ว!ขอไปแป๊ปนึงนะ!」
「อื้ม! โชคดีนะ!」
พอซาเรียส่งเสร็จชั้นก็วิ่งออกนอกกิลด์เพื่อตามคุณอัลโทเรียไป