ตอนที่ 28 กล่องสมบัติและการโจมตีอันรุนแรง
「อ๊อก.............!」
ข้า อัลโทเรีย เกรมถูกซัดอย่างแรงจนกระเด็นไปกระแทกกับกำแพง
โดยมีมังกรดำขนาดใหญ่มหึมามองข้าที่ทรุดไปกับกำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรง
『หึ สำหรับมนุษย์แล้วก็พยายามได้ไม่เลว..........น่าชมเชยนะว่ามั้ย?』
「แฮ่ก.............แฮ่ก.........อึก........!」
ข้าไม่มีแรงแม้แต่จะตอบคำพูดของมังกรเลย
ร่างทั้งร่างกรีดร้องราวกับจะล้มลงไปซะเดี๋ยวนี้
แต่ถึงอย่างนั้น............ก็จะตายไม่ได้เด็ดขาด.............
มังกรเมื่อเห็นข้าแม้ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดก็ยังฝืนเคลื่อนไหวเลยเปิดตากว้าง
『หึ..........ตายยากกว่าที่คิดแฮะ........... เปลี่ยนใจล่ะ ไม่ฆ่าเฉยๆแต่เอามาเป็นอาหารแทนดีกว่า』
「หา?」
อาหาร? จะทำอะ-------------
เพราะอยู่ในสภาพที่สติเลือนลางเลยไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่มังกรพูดได้
『ว่าแล้วก็จัดการเลยดีกว่า...........』
ขณะที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ มังกรดำทมิฬก็อ้าปากที่มีเขี้ยวแหลมและมีเปลวไฟออกมานิดๆตลอดมาทางข้า
อาหารนี่............อ๋อ เข้าใจล่ะ ดูท่าตั้งใจจะกินข้าสินะ
แต่ว่านะ.............บอกแล้วไม่ใช่เหรอไงว่าตายไม่ได้เด็ดขาด.........!
ข้าพลันตะโกนออกมาเพื่อฟื้นสติที่เลือนลาง
『หืม』
ทันใดนั้นมังกรก็ประหลาดใจเมื่อเห็นแววตาของข้าพร้อมสู้อีกครั้ง
「เทคนิคนี้.............ก็ไม่ค่อยชอบซักเท่าไรหรอก........!」
ข้าจับ『ขวานปฐพี』ที่เป็นอาวุธพิเศษของข้าไว้แน่น
แล้วเริ่มใช้เทคนิคที่ทำให้ได้ชื่อว่า『ภัยพิบัติ』...............ซึ่งเป็นชื่อที่สองของข้า
「----------โอ้วววววววววววววววววววว!」
『!』
ร่างกายข้ารู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณต่อสู้อันมหาศาล
พร้อมกันนั้นสติสัมปชัญญะของข้าก็ค่อยๆเลือนลางหายลับไป
『ภัยพิบัติ』ซึ่งเป็นชื่อที่สองของข้านั้นแน่นอนว่าส่วนใหญ่มาจากสภาพร่างกายของข้า
ที่เป็นมาแต่กำเนิด ทว่าเทคนิคที่กำลังใช้อยู่นี้คือสาเหตุหลักที่ทำให้ข้าถูกเรียกว่า『ภัยพิบัติ』
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่คิดขึ้นเพื่อใช้รับมือกับ『ภัยพิบัติ』ที่ตัวข้าเป็นผู้เรียกมา
โดยจะทำให้สติสัมปชัญญะหายไปชั่วคราวเพื่อสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงแก่บริเวณโดยรอบ
ผลลัพธ์นั้นทำให้ตัวข้ากลายเป็น『ภัยพิบัติ』ยิ่งกว่า『ภัยพิบัติ』ที่เรียกมา
เป็นเทคนิคที่แม้แต่ตัวเองยังคิดเลยว่าเป็นการแก้ปัญหาผิดจุด
แต่ก็นะ เพราะได้เทคนิคนี้แหละถึงผ่านพ้นภัยพิบัติมาได้จนถึงทุกวันนี้
นอกจากนั้นตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่รอบๆนอกจากมังกรด้วย
เพราะงั้นสามารถอาละวาดได้เต็มที่...............
「『ร่างภัยพิบัติคลั่ง (Calamity Berserk)』....!」
เมื่อสติสัมปชัญญะหายไปจนหมดร่างกายของข้าก็ระเบิดจิตวิญญาณต่อสู้อันมหาศาลออกมา
『นี่มัน..............』
มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
คิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
「ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!」
『!?』
ข้าบ้าคลั่งไปแล้ว
แต่ทว่ามันก็แค่นั้นแหละ
◆◇◆
ชั้นฮิรากิ เซอิจิพอตั้งสติได้อีกครั้งทันทีที่จัดการกล่องสมบัติได้ในพริบตาก็ไปเก็บดรอปไอเท็ม
「อืมมมม...........ครั้งนี้ทั้งลูกแก้วสเตตัสทั้งสกิลการ์ดยังตกค้างไว้อยู่แฮะ」
ตอนSandmanสกิลการ์ดอะไรพวกนี้ยังดูดเข้ามาในตัวชั้นทันทีเลย
แต่ครั้งนี้ทั้งลูกแก้วสเตตัสทั้งสกิลการ์ดไม่ถูกดูดเข้ามาในตัวชั้นทันทีโดยตกไว้อยู่อย่างนั้น
ที่ไม่ดูดเข้ามาทันทีนี่มีหลักเกณฑ์อะไรอยู่รึเปล่านะ?
เพราะคิดไปก็ไม่ได้คำตอบเลยกลับไปเก็บต่อ
「ก่อนอื่นก็สกิลการ์ดล่ะนะ...........」
『สกิลการ์ด≪เข้าใจทุกภาษา≫』
『เมจิคการ์ด:เวทมิติขั้นสูงสุด』
「หลายๆอย่างมันสุดยอดเลยนะ」
HAHAHAHAHA!ชินกับสูตรโกงที่มีแล้วเฟ้ย!แต่ว่าทำไมกันนะ
ทำไมถึงรู้สึกว่างเปล่าขนาดนี้................!
สำหรับเนื้อหาของสกิลโกงชั้นตัดสินใจแล้วว่าจะตรวจดูทีหลังเลยดูดเข้าใจในตัวทั้งอย่างนั้น
ไว้หลังจากไปรวมกับคุณอัลโทเรียได้ค่อยมาตรวจดูแล้วกัน
จะว่าไปคิดไม่ถึงเลยนะว่าแป๊ปเดียวก็ได้สกิลอะไรพวกนี้มาแล้ว
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นคราวนี้ก็ไปหยิบลูกแก้วสเตตัสมาต่อ
『พลังเวท:50000』
『พลังโจมตี:0』
『พลังป้องกัน:0』
『ว่องไว:50000』
『โจมตีเวท:50000』
『ป้องกันเวท:0』
『โชค:0』
『เสน่ห์:50000』
「แพ้กล่องสมบัติด้วยเฟ้ยยยยยยยยยยยยยย!」
เสน่ห์..........เสน่ห์มัน............!
เสน่ห์ของชั้นแม้แต่กล่องสมบัติยังสู้ไม่ได้เลยเหรอเนี่ย!? ว่าแต่เสน่ห์ตั้ง50000นี่มัน!จะสูงไปมั้ย!?
นอกจากนั้นสเตตัสทั้งหมดนี่อีก!เอียงสุดยอด!? เก่งเวทโดยเฉพาะเลยนะเนี่ย!
แต่ทั้งเวททั้งกายภาพดันไม่มีพลังป้องกันซะนี่!
ว่าแต่...............ที่หลุดมาอันนึงนี่ก็สมกับที่วิ่งได้แบบนักกรีฑาแหละนะ ว่องไวเหลือเชื่อเลย
ระหว่างที่คิดอะไรไร้สาระอยู่ก็พลางดูดลูกแก้วสเตตัสเข้าไปในร่างกาย
「เอาล่ะ........ต่อไปก็『ชีวประวิติของกล่องสมบัติ』」
พอหยิบสมุดโน๊ตที่หล่นอยู่บนพื้นมาดูหน้าปก
『เรื่องราวของกล่องสมบัติ』
「แกก็ด้วยเหรอ」
เป็นครั้งที่สองต่อจากเซนอสเลยนะ!
งั้นก็หมายความว่าข้างใต้ปกนี่ก็ยังมีอีก..........
『อ้างอิงจากเรื่องจริงจ้า』
「ก็บอกแล้วไงว่าแบบนี้มันใช่เรื่องราวซะที่ไหน!」
อีกอย่างสมุดโน๊ตที่ออกมานี่จะรู้ได้ไงว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง!? จะใครก็ไม่รู้ทั้งนั้นแหละ!
ขณะที่ชั้นโวยวายใส่ไอเท็มที่ชวนให้ตบมุขเต็มสตีมอยู่ ซาเรียก็ถามชั้นมา
「อ้ะ ที่เคยอ่านในป่านี่นา อันเดียวเหรอ?」
「เอ๋? อ้ะ ไม่หรอก เนื้อหาคราวนี้คิดว่าต่างกันนะ?」
「งั้นเหรอ? งั้นอ่านหน่อยสิ? ฉันก็อยากฟังด้วยคน!」
ซาเรียพูดพร้อมรอยยิ้มอันไร้เดียงสา ชั้นที่ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว
เลยเริ่มอ่าน『เรื่องราวของกล่องสมบัติ』ให้ฟัง
『กล่องสมบัตินั้นเพราะเกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งขึ้นจึงกลายมาเป็นมอนเตอร์พิเศษ』
............หือ? มอนเตอร์พิเศษที่ว่านี่มันอะไรกันหว่า?
ถ้าให้แปลตรงตัวเลยก็คงเป็นมอนเตอร์ที่มีเพียงตัวเดียว............ช่างมันเถอะ
『เดิมทีก็เป็นกล่องขนของธรรมดาที่ปาตี้หนึ่งนำมาประยุกต์ใช้ใส่สัมภาระ
ซึ่งในเวลานั้นยังมิได้มีอัตตา เป็นเพียงแค่เครื่องมือธรรมดาๆเท่านั้น
ทว่าก็เกิดเรื่องที่มีเหล่านักผจญภัยที่มีชื่อเสียงกลุ่มหนึ่งนำไอเท็มกลับมาจากดันเจี้ยนระดับสูง
..................ซึ่งก็คือ≪ไอเท็มบ็อก≫นั่นคือสาเหตุที่ทำให้การคงอยู่เปลี่ยนไป』
เห..............ที่จริงไอเท็มบ็อกเคยเป็นไอเท็มมาก่อนงั้นเหรอ
สภาพมันเป็นแบบไหนน้านึกภาพไม่ออกเลยแฮะ
เพราะเหตุการณ์นี้เลยทำให้คุณอัลโทเรียก็ใช้ไอเท็มบ็อกได้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสินะ?
『ความสามารถของไอเท็มบ็อกนั้นมีทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องความจุ ใส่ของได้ไม่จำกัด
น้ำหนักก็แค่กล่องที่ใช้เก็บ เป็นเครื่องมือที่วิเศษจนไม่อาจบรรยายได้
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว กล่องสมบัติทั้งเก็บได้ปริมาณจำกัด แถมยังหนัก
อีกทั้งยังใหญ่เทอะทะมีจุดที่ไม่สะดวกอยู่มากมาย แต่ถึงกระนั้น ปาตี้ที่เป็นเจ้าของกล่องสมบัติ
ก็ยังใช้กล่องสมบัติต่อไป โดยเหตุผลส่วนใหญ่นั้นก็มาจากการจะได้ไอเท็มบ็อกมามีแต่ต้อง
ลงไปในดันเจี้ยนระดับสูงเท่านั้น ทว่า ปัญหาตรงจุดนี้ก็ได้ถูกแก้ไขโดยจอมเวทผู้มีชื่อเสียง
ด้วยการค้นพบเทคโนโลยีที่ทำให้ผลิตไอเท็มบ็อกออกมาได้เป็นจำนวนมาก
ทำให้ไอเท็มบ็อกถูกใช้ในหมู่ผู้คนในเวลาเพียงไม่นาน จนกล่องสมบัติหมดคุณค่าไป』
อย่างนี้นี่เอง..........เพราะตอนนี้ไอเท็มบ็อกเป็นสินค้าที่หาได้ง่ายแล้วสินะ
หลังจากนี้ก็ไปซื้อให้ซาเรียไว้ใช้ดีกว่าจะได้สะดวกหลายๆอย่าง
มันก็ถูกนะ............ถ้าคิดจากความสะดวกสบายของไอเท็มบ็อกแล้วกล่องสมบัติคงไม่จำเป็นหรอก..........
「คุณกล่องสมบัติ...........」
พอหันสายตาไปทางซาเรียก็เห็นซาเรียมีสีหน้าเศร้าสร้อย
จะว่าไงดีล่ะ ใสซื่อดีจัง เพราะเกิดเติบโตมาในธรรมชาติเลยมีความอ่อนไหวสูงผิดกับชั้นล่ะมั้ง
ถ้าตัวเองสามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้ตรงๆแบบนี้ก็คงดี
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นก็อ่านให้ฟังต่อ
『และแล้วในที่สุดปาตี้ที่ใช้กล่องสมบัติต่อก็เปลี่ยนมาใช้ไอเท็มบ็อกแทน
ส่วนกล่องสมบัติที่หมดคุณค่าแล้วจึงไม่จำเป็นและถูกทิ้งไป โดยที่ตัวเองนั้นยังอยากให้ใช้ต่อ
ตัวเองยังใช้งานได้ ในเวลาเดียวกับที่อยากส่งเสียงนี้ออกมานั่นเองกล่องสมบัติก็มีอัตตาเกิดขึ้นมา
ทว่าปาตี้นั้นได้จากที่นั่นไปแล้วเหลือแต่กล่องสมบัติอยู่เพียงลำพัง
เพื่อให้รู้สึกถึงตัวตนของตัวเองจึงพยายามส่งเสียงออกมา
จนในที่สุดพอรู้ตัวอีกทีกล่องสมบัติก็ส่งเสียงออกมาได้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครรับรู้อีกต่อไป
กล่องสมบัติใช้เวลายามค่ำคืนอย่างเดียวดาย มองอาทิตย์ยามเช้าด้วยความเจ็บปวด
ทำได้แต่เฝ้ารอเวลาที่จำเป็นกับผู้คนต่อไป』
กล่องสมบัตตตตตตตตตตตตตตตตตตต!
นายนี่มัน.............!ทำไมถึงน่าชื่นชมแบบนี้!
กล่องสมบัตินี่นายมีอดีตแบบนี้เองเหรอ.........!ขอโทษด้วยนะที่ไม่สนใจ!?
『แม้รอคอยมาเนิ่นนานช่วงเวลานั้นก็ไม่มาถึง ความเป็นจริงนั้นทำให้กล่องสมบัติเศร้าเสียใจ
ที่ตัวตนอันไร้ค่าของตัวเองถูกกลืนกินไปกับยุคสมัย ถูกทำลายโดยโลกอันไร้เหตุผลจนได้แต่สิ้นหวัง
แต่แล้วกล่องสมบัติก็คิดขึ้นมาได้ ถ้าผู้คนต่างทิ้งขว้างเพราะไม่จำเป็นล่ะก็
แค่แสดงให้เห็นว่าตัวเองมีดีขนาดไหนซะก็สิ้นเรื่อง』
กล่องสมบัติคิดได้ขนาดนั้นเลยเหรอฟะ!
『เรื่องนั้นก่อนอื่นกล่องสมบัติก็คิดถึงเหตุผลที่ตัวเองถูกทิ้ง คงเป็นตรงจุดที่ไอเท็มบ็อก
ไม่ต้องห่วงเรื่องปริมาณความจุนี่แหละ แล้วก็ตรงจุดที่ไม่รู้สึกถึงความหนัก
เมื่อมองตรงจุดนั้นแล้วกล่องสมบัติจึงได้เรียนรู้เวทมิติ ซึ่งผลลัพธ์นั้นทำให้กล่องสมบัติ
สามารถเก็บอะไรก็ได้ ความหนักก็ไม่รู้สึกและเก็บได้ไม่จำกัด』
กล่องสมบัติเจ๋งโคตร!แต่นี่มันเกินขอบเขตกล่องสมบัติไปแล้วเฟ้ย!
『อย่างสุดท้ายที่กล่องสมบัติพยายามปรับปรุงคือความใหญ่เทอะทะซึ่งต่างจากไอเท็มบ็อก
แต่ทว่าไม่ว่าจะพยายามยังไงกล่องสมบัติก็ไม่อาจเทียบกลับไอเท็มบ็อกที่ไม่มีร่างกายได้
เพื่อเป็นการแก้จุดด้อยนั้นกล่องสมบัติจึงได้งอกแขนขาออกมา』
ไหงงี้อ่ะ!? ทำไมกลายเป็นคิดงอกแขนขาขึ้นมาได้!?ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยสักนิด!
『กล่องสมบัติงอกแขนขาออกมาก็เพื่อที่จะเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง สามารถใช้เวทช่วยได้
ป้องกันตัวเองได้ไม่เกะกะ ทำให้กลายเป็นกล่องสมบัติสุดไฮเทค』
อย่างนั้นเองเหรอ...............!ก็จริงอยู่นะที่สุดยอด!
ถึงสุดยอดแต่...........ดูจะพยายามจนออกนอกเส้นทางไปแล้วนะ!?
『กล่องสมบัติที่ทั้งเคลื่อนไหวได้แถมยังพูดได้ก็ตัดสินใจไปโชว์ตัวกับมนุษย์
แต่มนุษย์ที่ได้พบต่างพากันโจมตี นอกจากไม่ยอมรับกล่องสมบัติแล้ว
ยังปฏิเสธตัวตนที่พัฒนาขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง』
ก็พูดยากอยู่แต่ว่าทำตัวเองชัดๆ.............!
『แต่กล่องสมบัติที่ผิดหวังก็ยังร่อนเร่ไปตามที่ต่างๆคอยเฝ้ามองหามนุษย์ที่ต้องการตัว
โดยหวังว่าซักวันจะได้กลับมามีคืนวันที่ได้รับรอยยิ้มอันอบอุ่นของผู้คน
เหมือนวันเวลาที่อยู่ร่วมกับปาตี้ที่ใช้กล่องสมบัติ...............』
และแล้ว『เรื่องราวของกล่องสมบัติ』ก็จบลงเพียงเท่านี้
หน้าสมุดโน๊ต『ชีวประวัติของกล่องสมบัติ』ได้ถูกปิดลง
................
「ผ่านอะไรมาเยอะเลยนะ..............」
ชั้นทอดสายตาออกไปไกลๆ แม้ว่าชั้นจะถูกรังแก
แต่ที่โลกเก่าก็ยังไม่เคยรู้สึกถึงเนื้อหาชีวิตที่หนักหนาสาหัสขนาดนี้เลย
「คุณกล่องสมบัติเองก็ลำบากเหมือนกัน」
ซาเรียเองก็พึมพำออกมาเงียบๆ
ก็ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของสิ่งของที่ถูกทิ้งหรอกนะแต่ในโลกนี้น่ะหากมีคนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ
ก็อาจมีคนที่เก็บสิ่งนั้นมาใช้อยู่เหมือนกัน
ต่อให้เป็นของที่ไม่ใช้แล้ว ก็ยังมีพวกช่างที่เอาไปดัดแปลงได้อยู่
แต่ก็นะ การเอาแต่เก็บของที่ไม่ใช้แล้วไว้จนรกมันก็ไม่ดีอีกนั่นแหละ
หลังจากที่สรุปอยู่คนเดียวก็หันไปหาไอเท็มที่ใส่อยู่ในกล่องสมบัติ
「........กล่องสมบัติในกล่องสมบัติ.................เป็นตุ๊กตาแม่ลูกดกเหรอไงฟะ」
ตบมุขออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
พอเปิดกล่องสมบัติดูก็มีถุงที่ใส่เงินไว้กับแหวน1วง
「เงินที่ก็ใส่ไอเท็มบ็อกได้เลยว่าแต่............แหวนเหรอ」
แหวนที่หยิบออกมานั้นมีอัญมณีสีม่วงสวยงามฝังไว้อยู่
แต่ก่อนอื่นก็ต้องตรวจดูประสิทธิภาพด้วยสกิลตรวจสอบ
『แหวนอับโชค』............อุปกรณ์สวมใส่ระดับตำนาน
เป็นแหวนที่ใส่ความเศร้าใจของกล่องสมบัติไว้ ผู้สวมใส่โชคจะถูกคูณด้วย-2
「เป็นตำนานได้ไงฟะ!?」
ไม่เห็นจะมีดีเลยซักนิด!? โชคโดนปรับเป็นติดลบเนี่ยนะ!ขืนใส่นี่ชั้นซวยบรรลัยแน่!?
ทำไมของสวมใส่พรรณนี้ถึงได้เป็นระดับตำนานนะชั้นไม่เห็นจะเข้าใจเลย
แต่พอมารู้อดีตที่น่าเศร้าของกล่องสมบัติแล้วจะทิ้งก็ทิ้งไม่ลง
..........แค่ไม่ใส่ก็พอนี่นางั้นก็เก็บไว้ในไอเท็มบ็อกแล้วกัน
ยังไงก็เป็นแหวนที่ไม่ใส่ไปชั่วชีวิตอยู่แล้ว พักในนั้นไปยาวๆเหอะ
「ฟู่.............ก่อนอื่นก็เก็บมาได้ครบแล้วล่ะนะ」
กวาดสายตามองไปรอบๆก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว
「.........เฮ้ย นี่ไม่ใช่เวลามาหยุดพักนี่หว่า!ต้องรีบไปรวมกับคุณอัลโทเรียแล้ว」
「แต่ว่านะเซอิจิ ถ้าไม่ย้อนกลับไปอีกครั้งล่ะก็ข้างหน้าก็เป็นทางตันแล้วนะ?」
ที่ซาเรียพูดแบบนั้นเพราะตรงที่ๆเจอกับกล่องสมบัติ ไม่มีทางไปต่อ มีแต่ต้องย้อนกลับไปทางเก่า
「จริงสิ ดูทิศทางที่คุณซาเรียอยู่เผื่อไว้ดีกว่า」
ถ้าทำอย่างนั้นล่ะก็เวลาไปถึงทางแยกก็จะได้รู้ด้วยว่าควรไปทางไหน
ว่าแล้วชั้นก็หยิบ『หินเข็มทิศ』ที่ได้จากคุณอัลโทเรียออกมาจากไอเท็มบ็อก
แต่ทว่า---------
「...........นี่ ซาเรีย หินเข็มทิศมันเป็นสีแดงอยู่แล้วเหรอ?」
「เอ๋? จำได้ว่าเป็นสีเงินนะ...........」
「นั่นสิ」
หินเข็มทิศที่เอาออกมาไม่ได้เป็นสีเงินเหมือนตอนที่คุณอัลโทเรียให้มา
แล้วก็ไม่รู้ทำไมถึงส่องแสงสีแดงแถมยังกระพริบอยู่ด้วย
พอชั้นกับซาเรียรู้สึกตัวถึงสภาพแปลกๆของหินเข็มทิศที่เอาออกมา
ซาเรียก็เอาหินเข็มทิศที่ให้ไว้กับตัวเองออกมาบ้าง
「อ้ะ ของฉันด้วย........」
หินเข็มทิศที่ให้ซาเรียนั้นกระพริบแสงสีแดงเหมือนกับหินเข็มทิศที่ให้ชั้น
「นี่มัน...........หมายความว่าไงกัน?」
ตอนแรกมันเป็นสีเงินไม่ผิดแน่ แต่ตอนนี้กระพริบสีแดงตลอดเหมือนกำลังเตือนอะไรสักอย่าง
ซึ่งของซาเรียก็เป็นด้วยตกลงมันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยคิดไม่ออกเลยแฮะ
แล้วแล้วตอนนั้นเองชั้นก็คิดออก
「เออใช่!ถ้าใช้ตรวจสอบกับหินเข็มทิศนี่อาจจะรู้อะไรขึ้นมาก็ได้」
เดิมทีประสิทธิภาพของหินเข็มทิศคุณอัลโทเรียก็อธิบายให้แค่คร่าวๆเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นจะมีประสิทธิภาพที่ไม่รู้ก็ไม่แปลก
ว่าแล้วก็ใช้สกิลตรวจสอบทันทีเพื่อหาสาเหตุ
『หินเข็มทิศ』.......เมื่อใส่พลังเวทของตัวเองลงไปแล้วมอบให้ผู้อื่น สามารถรู้ทิศที่อยู่ของเจ้าของได้
หากกำลังเกิดอันตรายกับร่างกายเจ้าของ จะส่องแสงสีแดงเพื่อบอกอันตรายนั้นให้ผู้อื่นรู้
「「คุณอัลโทเรียยยยยยยยยยยยยยยยย!?」」
แย่ล่ะสิ!? คุณอัลโทเรียกำลังตกอยู่ในอันตราย!? ไม่มีเวลามาเอื่อยเฉื่อยแล้ว!
「โธ่เว้ย...........คุณอัลโทเรียอยู่ที่ไหนนะ!? แล้วไปทางไหนดีเนี่ย!?」
「ม ไม่รู้สิ!」
อยู่ดีๆถูกบอกว่าคุณอัลโทเรียกำลังตกอยู่ในอันตรายชั้นกับซาเรียเลยลนขึ้นมา
「จ จริงสิ!เวลาแบบนี้ก็ต้องพึ่งหินเข็มทิศนี่แหละ!」
เพื่อที่จะรีบไปหาคุณอัลโทเรียเลยใช้หินเข็มทิศทันที
ทันใดนั้นหินเข็มทิศก็ลอยขึ้นแล้วไปชนกับกำแพงใกล้ๆ
................
「ลืมไปเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!」
หินเข็มทิศไม่ได้ชี้ทางไปหาคุณอัลโทเรีย มันแค่ชี้ทิศที่อยู่เองนี่หว่า!
ตอนแรกก็พลาดแบบนี้แถมตะกี้ก็เพิ่งยืนยันประสิทธิภาพไปเอง ยังมาพลาดแบบนี้อีก
นี่ชั้นลนลานขนาดไหนแล้วเนี่ย
「หนอย!เจ้ากำแพง............เจ้ากำแพงบ้าาาาาาาาาาาา!」
ชั้นชกใส่กำแพงที่เข็มทิศไปชนเต็มแรง
โครมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!
「.....................」
「.....................」
ชั้นกับซาเรียตะลึงไปเลยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ก็กำแพงที่ชกไปเต็มแรงมันหายไปเลยน่ะสิ
.................
「....................หา?」
กำแพงที่ชกไปนี่พังง่ายจังแฮะ................
ไม่สิ แทนที่จะเรียกว่าพัง..........บอกว่าปลิวหายไปเลยดีกว่า?
「เหยอ...........ตกลงชั้นเป็นสัตว์ประหลาดขนาดไหนกันฟะเนี่ย..........」
ตกใจกับพลังสุดจะเว่อร์จนทำอะไรไม่ถูก
กำแพงที่อยู่ถัดจากกำแพงที่ทะลุไปตรงหน้าก็โดนแรงอัดจากกำปั้นของชั้นปลิวไปด้วยกัน
ถ้ารู้ว่ากำแพงพังง่ายขนาดนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องหลงกับคุณอัลโทเรียแล้วไม่ใช่เหรอ?
เอาเถอะ ถ้าชกจนเละแบบเมื่อตะกี้ล่ะก็คุณอัลโทเรียมีหวังโดนไปด้วยแหง...............
ขณะที่ดึงแก้มตัวเองเบาๆเพราะรู้สึกไม่ดีอยู่นั้นซาเรียก็ตบมาที่หลังของชั้น
「เซอิจิสุดยอดเลย!เท่านี้ก็ไปหาคุณอัลโทเรียได้แล้ว!」
「เอ๋?............อ้ะ」
ใช่เลย!ถึงจะเสียใจกับพลังระดับบอกลาความเป็นมนุษย์
แต่ด้วยพลังนี้ทำให้ไปหาคุณอัลโทเรียได้ไม่ใช่เหรอไง!สูตรโกงบันไซ!
「งั้นก็จับไว้ให้ดีๆล่ะ.............เพราะชั้นเองก็พึ่งเคยใช้พลังวิ่งเต็มที่เหมือนกัน
ไม่รู้นะว่าจะเร็วขนาดไหน」
「ได้เลย!」
พอฟังที่ซาเรียตอบกลับมาแล้วชั้นก็ใช้สกิล『ก้าวพริบตา』
ทันใดนั้นเองชั้นกับซาเรียก็หายวับไป----------
◆◇◆
「อุ๊บ.............」
ข้า------------อัลโทเรีย เกรมร่างกายเต็มไปด้วยเลือดล้มไปกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
『........เป็นสาวน้อยที่น่ากลัวดีจังนะ...........』
มังกรมองลงมาที่ข้าในสภาพนั้น
ไม่ไหว..........เหรอเนี่ย...........
พลังทั้งหมดของข้าทำอะไรมังกรตรงหน้าไม่ได้เลย
สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้คือมังกรนั้นไม่มีแผลเลยซักรอยเดียว
『มนุษย์ที่ทำให้ข้าตกใจได้ก็มีอยู่ด้วยแฮะ............
มีชีวิตอยู่มาก็นานแล้วก็ยังไม่อาจคาดเดาอะไรได้เลยนะเนี่ย』
มังกรดูจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่เข้าหูมาเลย
แทบจะคงสติไว้ไม่อยู่แล้ว
พอคิดดูแล้วทั้งกระดูกหักแถมกระอักเลือดด้วยอวัยวะภายในคงเละไม่เหลือแล้วล่ะ
ทั้งที่อาละวาดเต็มที่โดยหวังว่าพอจะทำให้พวกเซอิจิกลับกันได้อย่างปลอดภัยแท้ๆ...........
「........แฮ่ก.........แฮ่ก..........อ๊อก..........」
ขณะที่สายตาพร่ามัวหายใจหอบจนได้ยินเสียง รู้ตัวอีกทีน้ำตาข้ามันก็ไหลออกมา
ข้าที่โชคร้ายมาตลอดตั้งแต่เกิดมานั้นพยายามอยู่ตลอดไม่ให้คนรอบข้าง
ต้องมาลำบากกับสภาพที่เป็นอยู่ของตนเอง
เพื่อที่จะรับมือกับภัยพิบัติที่เรียกมาจึงพยายามเพื่อไขว่คว้าพลังมา
ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่พลังของข้ากลับยังไม่เพียงพอ...........
พอนึกย้อนกลับไปแม้เวลาที่ใช้กับพวกเซอิจิจะสั้นแต่ข้าสามารถยิ้มออกไปได้กี่ครั้งกันนะ
ทั้งที่ข้าทำให้ผู้คนโชคร้ายตลอดมาจนหลงลืมการยิ้มมานาน...........
การรับเป็นผู้คุมสอบให้สองคนนั้นแม้แต่ตอนนี้ก็รู้สึกมีความสุขจริงๆ
ทำให้สามารถหวนนึกถึงความรู้สึกที่ได้หลงลืมไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ตัวข้าที่ไม่อาจส่งสองคนนั้นกลับไปอย่างปลอดภัยเพราะพลังของตัวเองไม่เพียงพอ
จึงได้หลั่งน้ำตาออกมา
ข้าทำให้คนอื่นต้องมาพัวพันโดยที่ช่วยเหลือไม่ได้
สุดท้ายก็ข้าก็เป็นได้แค่『ภัยพิบัติ』...............
『ยังไงก็ตามแต่ในที่สุดก็สงบซะที........ ค่อยกินได้สบายหน่อย』
ปากอันใหญ่โตของมังกรค่อยๆเข้ามาใกล้ข้า
ร่ายกายขยับไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
เซอิจิ............ซาเรีย...........ขอโทษนะ
「ที่พวกนาย.............ต้องมารับเคราะห์จากความโชคร้ายของข้าไปด้วย----------」
กล่าวออกไปแบบนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
แล้วขณะที่ปิดตาพลางน้ำตาไหลยอมรับความพ่ายแพ้นั่นเอง
-------------ตึงง........................
----------ตึงงงงง.................
-------ตึงงงงงงง..........
........ตึงงงงงงงงงงงง!
『..........หือ? อะไรน่ะ........?』
อยู่ดีๆพื้นก็มีเสียงสั่นสะเทือนและเสียงก็ค่อยๆดังยิ่งขึ้นมาจากด้านหนึ่งของห้อง
พอรู้สึกตัวห้องก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงจนมีก้อนกรวดหล่นลงมาจากเพดานเป็นจำนวนมาก
『อ อะไรกัน!?นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?』
มังกรเองก็วิตกกับเหตุการณ์อันคาดไม่ถึง
เมื่อได้ยินเสียงแบบนั้นของมังกรข้าก็เปิดตาที่พร่ามัวเพื่อยืนยัน
..............ตึงงงงงงง!!
.......ตึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!!
ประตูที่ข้าใช้เข้ามานั้น------------
โครมมมมมมมมมมมมมม!!
------------ปลิวหายไปกับตา
『ป ประตูถึงกับปลิวเลยเหรอเนี่ยยยย!? มันเกิดอะไร-----------อ๊อก!?』
คำพูดของมังกรขาดช่วงไป
นั่นก็เพราะว่า ชั่วพริบตาหนึ่งจากทางที่ประตูกระเด็นออกมา..........มีอะไรสักอย่างชนเข้ากับมังกร
ร่างอันใหญ่โตของมังกรนั้นปลิวกระเด็นไปอย่างแรงจนชนกับกำแพงอย่างไม่น่าเชื่อ
และสิ่งที่ชนเข้ากับมังกร-----------
「เร่งสปีดเร็วเกินจนหยุดไม่ได้เลย.......!
แต่ดูเหมือนหยุดได้เพราะไปชนเข้ากับอะไรสักอย่างซะด้วยสิ!」
「เน่ เซอิจิ ที่ไปชนเข้าเป็นสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เหรอ? เห็นมีเสียงออกมาด้วยนะ?」
「เอ๋ จริงเหรอ!? ก ก็ไม่รู้ว่าใครหรอกแต่..........โทษทีแล้วกัน!
.......เยี่ยม ในเมื่อขอโทษแล้ว ก็ไม่มีปัญหา อื้ม」
คือเซอิจิที่อุ้มซาเรียในท่าเจ้าหญิงไว้
◆◇◆
ชั้น ฮิรากิ เซอิจิกำลังร้อนใจ
ก็แหม...........ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช้สปีดออกมาซะขนาดนั้นหรอก..........
แถมรู้สึกตัวอีกทีก็โผล่มาที่ไหนก็ไม่รู้แล้วด้วย Oh Mystery!
ก็นะ ถึงจะพูดล้อเล่นอยู่แต่จริงๆก็หวั่นอยู่เหมือนกัน
ถ้าวัดออกมาชั้นจะได้สปีดสักเท่าไรกันหว่า
อีกอย่างซาเรียบอกว่าที่หยุดสปีดเบรกไม่อยู่ของตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างด้วย
..........ถึงถูกชนด้วยความเร็วขนาดนั้นก็คงไม่ตายหรอกเนอะ?
..............ฝันไปเหอะ ที่อยากหนีความจริงก็พอเข้าใจอยู่
ขณะที่คิดอย่างนั้นอยู่ซาเรียที่สังเกตุเห็นอะไรสักอย่างก็ส่งเสียงตกใจออกมา
「อ้ะ!」
「มีอะไรเหรอ?」
「นั่นมัน........คุณอัลโทเรีย!?」
「!?」
พอหันสายตาตามไปทางที่ซาเรียชี้ก็เจอคุณอัลโทเรียที่ชโลมไปด้วยเลือดนอนอยู่
「คุณอัลโทเรีย!」
ชั้นรีบพุ่งเข้าไปหาคุณอัลโทเรีย
แล้วคุณอัลโทเรียก็พูดอย่างอ่อนแรง
「ฮะฮะ........โทษทีนะ เซอิจิ ซาเรีย.......... ทั้งที่..........ตั้งใจจะให้กลับกันอย่างปลอดภัย.......」
คุณอัลโทเรียบอกมาอย่างไร้เรี่ยวแรงทำให้ชั้นกับซาเรียพูดอะไรไม่ออก
คนๆนี้ เป็นห่วงคนอื่นถึงขนาดไหนกัน..........
「เซอิจิ!ก่อนอื่นก็แผลของคุณอัลโทเรียนะ!」
「อา!」
ชั้นประคองคุณอัลโทเรียขึ้นมาแล้วหยิบยารักษาชั้นเยี่ยมออกมาจากไอเท็มบ็อก
และตอนที่กำลังป้อนให้คุณอัลโทเรียดื่มนั่นเอง
「อ้ะ!เซอิจิ ข้างหลัง!」
「เอ๋?」
ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนของซาเรียก็หันไปด้านหลัง ที่ปรากฏคือเปลวเพลิงร้อนระอุกำลังพุ่งเข้ามา
กับเรื่องกะทันหันนี้แม้『ตาใจ』ที่เป็นสกิลเฉพาะตัวของชั้นจะทำงานอยู่
แต่ในหัวกลับไม่รู้เลยว่าควรรับมือยังไงดี
ซาเรียนั้นเพราะคิดว่าชั้นก็หลบได้อยู่แล้วเลยไปอยู่ตรงที่ๆเปลวเพลิงไปไม่ถึงเรียบร้อย
แต่พอมองมาที่ชั้นก็ต้องตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
「เซอิจิ!?」
แม้จะได้ยินเสียงโศกเศร้าของซาเรียแต่ชั้นกลับปกป้องคุณอัลโทเรียที่อยู่ตรงหน้าด้วยปฏิกิริยาตอบโต้
โดยการหันหลังตัวเองให้เปลวเพลิงกอดป้องกันคุณอัลโทเรียเอาไว้
และแล้วหลังของชั้นก็อาบไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรง
คลื่นความร้อนอันน่ากลัวห่อหุ่มตัวชั้นกับคุณอัลโทเรีย
แม้ชั้นจะรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ไม่ธรรมดาบนแผ่นหลังแต่เพื่อบรรเทาความทรมานนั้น
ให้กับคุณอัลโทเรียแม้เพียงซักนิดจึงให้ดื่มยารักษาไปด้วย
พอดื่มไปได้หมดคุณอัลโทเรียก็เริ่มพูดได้มากกว่าเมื่อสักครู่นี้ แต่ก็ยังตะโกนออกมาด้วยเสียงอ่อนแรง
「ไอ้............เจ้าบ้า ทำไม.........ถึงไม่หลบ.......!」
ไม่ใช่ไม่หลบแต่หลบไม่ได้ต่างหาก
นี่ขนาดใช้สกิล『ตาใจ』แล้วในหัวยังขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก
เหตุผลหลักที่ในหัวขาวโพลนก็เพราะชั้นอ่อนประสบการณ์ในการรับมือการโจมตีกะทันหันนั่นแหละ
แม้จะเป็นแบบนั้นเรื่องที่ชั้นยังอ่อนประสบการณ์ก็พอจะรู้ตัวอยู่
แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อปกป้องคุณอัลโทเรียแล้วร่างกายมันเลยขยับไปเอง.............
คำพูดของคุณอัลโทเรียทำให้ได้แต่ยิ้มแห้งๆอยู่ใต้ฮู้ด
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรับการโจมตีไปเรื่อยๆหรอกนะ
แม้จะตัดสินใจแบบฉับพลันไม่ได้แต่สิ่งที่จะทำหลังจากนั้นยังพอทำได้
ถึงแผลจะฟื้นตัวแล้วแต่กำลังของคุณอัลโทเรียยังไมได้กลับคืนมาด้วย
ชั้นเลยอุ้มคุณอัลโทเรียที่เป็นแบบนั้นทะยานเข้าไปหาซาเรีย
「เซอิจิ!」
ซาเรียก็ตะโกนพลางวิ่งเข้ามาหา
พอเอาคุณอัลโทเรียไปฝากให้ซาเรียได้ก็เอนตัวคุณอัลโทเรียนอนไว้อยู่ห่างๆ
「เซอิจิเป็นอะไรมั้ย!? ถูกเผาด้วยนะ!?」
「พอไหวมั้ง?」
「อืออ ร้อนจัง!」
「............」
ก็แหงล่ะ
เรื่องนั้นช่างเหอะว่าแต่พอคิดดูแล้วขนาดอยู่กลางกองไฟแบบนั้นยังมีแต่เสื้อคลุมที่โดนเผา
เสื้อผ้าไม่โดนเผาไปด้วยสงสัยเสื้อคลุมที่คุณแกะเตรียมให้คงมีประสิทธิภาพอะไรที่ชั้นไม่รู้อยู่ล่ะมั้ง
ทั้งที่บอกว่าไม่มีประสิทธิภาพอะไรเลยแท้ๆ
ยังไงซะต่อให้เชื่อว่าเป็นเสื้อคลุมที่ไม่มีประสิทธิภาพอะไร
ก็ยังสนุกกับปฏิกิริยาตอบโต้ของชั้นได้อยู่ดีแหละ
แต่ดูท่าเสื้อคลุมนี่คงใช้ไม่ได้อีกแล้ว
ก็ตรงปลายเสื้อคลุมค่อยๆโดนไฟเผาจนเป็นขี้เถ้าไปเห็นๆ
แม้จะใช้สกิล『ดูดซับ』พยายามดูดไฟที่ติดเสื้อคลุมเข้าไปแต่ไม่รู้ทำไมถึงดูดไม่ได้ก็ไม่รู้
แล้วถ้าจะใช้เวทน้ำของตัวเองมาดับไฟก็กะแรงไม่ได้
ตอนนี้อะไรที่ใช้ไม่ได้แหงๆอย่าใช้ดีกว่า การระเบิดตัวเองนี่มันไม่ตลกหรอกนะ
โชคดีที่ถูกเผาไปแค่เสื้อคลุมเลยแค่ถอดเสื้อคลุมก็ไม่โดนไฟแล้ว
「..........เซอิจิ............?」
ได้ยินเสียงตะลึงของคุณอัลโทเรียจากด้านหลัง
บางทีคงเพราะถอดเสื้อคลุมออกไปเผยให้เห็นผมสีดำของชั้นเลยคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
พอหันสายตาไปด้านหลังคุณอัลโทเรียก็ดูเหมือนจะพึมพำอะไรสั้นๆแล้วสลบไป
「ซาเรีย ฝากดูคุณอัลโทเรียด้วยนะ」
「เข้าใจแล้ว!เซอิจิเองก็พยายามเข้านะ!」
「โอ้」
พอชั้นรับเสียงเชียร์ของซาเรียแล้วก็หันไปทางอีกฝ่ายที่พ่นไฟมา
ที่ตรงนั้นคือมังกรขนาดมหึมาที่ห่อหุ้มด้วยเกล็ดสีดำสนิท
โดยตาสีแดงจ้องมองมาทางนี้ขณะที่ปากมีไอร้อนแผ่ออกมา
『เจ้ามนุษย์.........จะมาขัดขวางข้าอีกงั้นเหรอ.........!』
ดูท่าจะโกรธพวกเราอยู่แฮะ ทำไมอ่ะ ชั้นไปทำอะไรให้เหรอ?
ยิ่งกว่านั้น『อีก』ที่ว่านี่...........มันยังไงหว่า? ขัดขวางเป็นครั้งที่สองเหรอ? อย่าคิดมากน่า
ทว่าที่ทำให้คุณอัลโทเรียบาดเจ็บต้องเป็นเจ้ามังกรนี่ชัวร์
แล้วถึงจะพูดได้ แต่เจรจาไปก็ไร้ประโยชน์แหงๆ
『ไม่ยกโทษให้...........ไม่ยกโทษให้เด็ดขาด!
อย่าคิดจะได้กลับไปแบบมีชีวิตอยู่เลยเจ้ามนุษย์เอ๋ย................!』
เห็นมั้ยล่ะ?
ชั้นแอบถอนหายใจพลางชัก【เรเปียร์วังวนแห่งความเกลียดชัง(Black) 】กับ
【เรเปียร์แห่งความรักอันล้นเหลือ(White)】ออกมา
「งั้นเหรอ...........งั้นก็ขอปราบนายแล้วค่อยพาทุกคนกลับแล้วกัน............!」
ชั้นประกาศพร้อมพุ่งทะยานออกไป
คุณอัลโทเรียอุตส่าห์พยายามต่อสู้เพื่อพวกเรา
คราวนี้ถึงตาชั้นสู้เพื่อคุณอัลโทเรียบ้างล่ะ
เพื่อพาทุกคนกลับไป---------------