ถ้าอ่านแล้วชอบใจ

อย่าลืมไปกดไลค์ กดติดตาม แฟนเพจกันน้า

Shinka no mi ตอนที่ 22 งานเบ็ดเตร็ด

ตอนที่ 22 งานเบ็ดเตร็ด

「แล้วพวกเราต้องทำอะไรบ้างเหรอครับ?」

พอชั้นกับซาเรียแนะนำตัวเองกับคุณอัลโทเรียที่เป็นผู้คุมสอบของพวกเราแล้วก็ออกมาที่เมืองกัน

「อา ก็ให้พวกนายจัดการคำร้องขอนั่นแหละ.............เริ่มแรกก็คำร้องขอสายเบ็ดเตร็ด」
「สายเบ็ดเตร็ด.........งั้นเหรอ? อย่างเช่นอะไรบ้างครับ...........」
「นั่นสินะ............คราวนี้ที่เจ้ากัลซุสให้มาก็มีอยู่3อย่าง.............」
「3เลยเหรอ!?」

ทั่วไปการสอบมันควรมีแค่อย่างเดียวไม่ใช่เหรอ?
เพราะมองที่ชั้นคิดอยู่ออกล่ะมั้งคุณอัลโทเรียเลยยิ้มแห้งๆแล้วตอบกลับมา

「ก็นะ เจ้ากัลซุสคงคิดว่าเป็นโอกาสสะสางงานสายเบ็ดเตล็ดที่ไม่มีคนทำแบบรวดเดียวล่ะมั้ง」

ไอ้กัลซุส.........!
ทั้งๆที่ความสามารถในฐานะหัวหน้ากิลด์ของกัลซุสก็ต่ำอยู่แล้วแท้ๆ
ทำไมยังหน้าด้านทำแบบนี้อีกนะ? หรือเป็นเฉพาะครั้งนี้?

「แล้วก็ เนื้อหาคำร้องขอคราวนี้........... อย่างแรกก็『ช่วยงานบ้านเด็กกำพร้า』
แล้วก็『รื้อซากตึก』กับ『พาหมาไปเดินเล่น』」
「.............งานเบ็ดเตร็ดจริงๆ」

อย่างพาหมาไปเดินเล่นเนี่ย..............ทำเองก็ได้ ทำไม่ได้ก็อย่าเลี้ยงเลยเหอะ............
ก็จริงอยู่ที่คำร้องขอมันเบ็ดเตร็ตตามที่บอกเลยแต่『รื้อซากตึก』นี่มันอะไรกัน?
นับเป็นงานเบ็ตเตร็ดได้ด้วยเหรอ?

「คุณอัลโทเรีย」
「หา? ไรล่ะ?」
「『รื้อซากตึก』ที่ว่านี่..........ทำไมถึงต้องทำด้วยล่ะครับ? การทำลายสิ่งก่อสร้างเนี่ย
คิดว่าควรให้ผู้เชี่ยวชาญมาทำลายจะปลอดภัยกว่า.............」
「อ๋อ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ถึงจะบอกว่ารื้อแต่ก็แค่ไปพังมันนั่นแหละ」
「เถื่อนใช้ได้เลย」

เหมาะดี สมเป็นต่างโลกเลย
ทั่วไปมันต้องมีขั้นตอนต่างๆนาๆในการทุบทำลายแท้ๆ
จะว่าไปที่กิลด์ก็มีโรคจิตที่ตะโกนว่าอยากทำลายข้าวของอยู่นี่หว่า...........
ให้เจ้านั่นจัดการซะก็สิ้นเรื่องไม่ใช่เหรอ?

「เอาเถอะ คำร้องขออันไหนต้องทำยังไงก็เข้าใจแล้ว งั้นตอนนี้จะไปกันที่ไหนกันเหรอครับ?」
「หือ? ก็บ้านเด็กกำพร้าไง」

ดูท่าอย่างแรกจะเริ่มด้วยช่วยงานบ้านเด็กกำพร้าแฮะ
ตอนนี้ก็รู้แล้วว่ามีคำร้องขออะไร ต้องทำอะไรเป็นอย่างแรกแต่ว่า-----------

「คือว่า.............ทำไมต้องอยู่ห่างจากพวกเราขนาดนั้นด้วยล่ะครับ?」
「...............」

ทำไมคุณอัลโทเรียถึงต้องรักษระยะห่างจากพวกเราไม่เข้ามาใกล้ล่ะ
มาดอย่างนั้นก็ไม่ได้อยากจะให้เข้ามาใกล้อะไรเป็นพิเศษหรอก
แต่จะว่ายังไงดีล่ะ...........รู้สึกเหมือนโดนหนีหน้าเลย
เรื่องนั้นพอออกมาที่เมืองถึงได้รู้แต่ผู้คนในเมืองพอเห็นคุณอัลโทเรียทำไมต้องหลีกหนีกันด้วยล่ะ
.................หมายความว่าไง?
สุดท้ายคำถามของชั้นก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมาเพราะไม่นานพวกเราก็มาถึงบ้านเด็กกำพร้าแล้ว

「ที่นี่แหละบ้านเด็กกำพร้า」
「เห ที่นี่เหรอ..............นี่มันโบสถ์นี่นา?」

ใช่แล้วสถานที่ๆคุณอัลโทเรียบอกมาคือโบสถ์ที่เห็นตอนเดินในเมือง
ตอนที่มาถึงเทลเวลนั่นแหละ
แต่ว่านะ.............ตอนแรกคิดว่าเป็นโบสถ์ซะอีก เป็นบ้านเด็กกำพร้างั้นเหรอ?
เพื่อคลายความสงสัยของชั้นคุณอัลโทเรียเลยชี้แจงรายละเอียดให้

「ก็จริงอยู่ว่ามันคือโบสถ์แต่ก็เป็นบ้านเด็กกำพร้าด้วยนั่นแหละ」
「อย่างนี้นี่เอง............แล้วศาสนาของโบสถ์นี่มันชื่อว่าอะไรเหรอครับ?」

ชั้นมาจากต่างโลกสามัญสำนึกเลยยังมีน้อย
พอมีเหตุการณ์แบบนี้ก็ขอเก็บเกี่ยวข้อมูลเท่าที่จะทำได้หน่อยล่ะ

「หา? ไม่รู้เหรอ? ที่นี่ก็โบสถ์『ลัทธิเบลเฟย』ไง」
「ลัทธิเบลเฟย...........」

จะอะไรก็ได้นะแต่ถ้าเปลี่ยนจาก『เบ(ベ)』เป็น『มิ(ミ)』แล้วเป็นมิลย์เฟยคงอร่อยน่าดู

「แล้วลัทธิเบลเฟยมีคำสอนแบบไหนบ้างเหรอ?」
「เรื่องนั้นก็ไม่รู้ด้วยเหรอเนี่ย............. เอาเหอะ ถ้าพูดให้ง่ายๆก็
มอนเตอร์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่ละชีวิตต่างไม่มีสูงต่ำ
ที่เหลือก็『ปาฏิหารย์จะสถิตย์แก่ผู้ที่มีรัก รักนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งสันติภาพ』
................สอนกันอย่างที่บอกไปนี่ล่ะมั้ง?
แต่ความรักที่ไม่ไปรบกวนคนอื่นเขานี่แหละคือก้าวแรกของสันติภาพมากกว่า」
「เห...........แล้วมีพระเจ้าที่นับถือด้วยมั้ย?」
「ไม่หรอก นับถือคนที่มีอยู่จริงนี่แหละ」

สุดยอดเลยแฮะ นับถือคนเป็นๆด้วย........... เพราะงั้นเลยสร้างโบสถ์เป็นแบบนี้สินะ
ถ้าจำไม่ผิดพระเจ้าเองก็พูดแล้วว่าไม่มีการแทรกแซงที่โลกนี้
ที่พูดถึงนี่คงหมายความรวมไปถึงเป็นตัวตนที่ศรัทธาด้วย
แล้วก็ ปาฏิหารย์จะสถิตย์แก่ผู้ที่มีรักงั้นเหรอ ได้เห็นเซนอสเป็นตัวอย่างมาซะด้วยสิ
ก็ไม่ได้กะจะตีความไปในทางที่ไม่ดีหรอกแต่คำสอนแบบนี้จะช่วยผู้คนทั้งหลายแหล่ได้เหรอ
ต้องบอกว่าต่อให้คนเหมือนกันยังมีความคิดเรื่องจุดสูงสุดแตกต่างกันเลย
เอาเหอะ ขนาดโลกเก่ายังมีคำว่าLove & peaceนี่นา
ความหมายของสิ่งที่บอกมาของต่างโลกนี่อาจจะเหมือนของโลกเก่าก็ได้
ตอนที่กำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ซาเรียก็ตาเป็นประกายแล้วพูดขึ้น

「ความรักเหรอ...............ฉันรักเซอิจินะ!」
「อ โอ้!.............ช ชั้นก็เหมือนกัน」
「เอะเฮะเฮะ!」

จู่โจมกันกะทันหันเกินไปแล้ว..............!
แต่ซาเรียไม่ว่าจะตอนเป็นกอลิล่าหรือตอนเป็นสาวสวยก็ยังแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ
ไม่มีความอายต่อความรู้สึกดีๆอันใสบริสุทธิ์นั้นเลย
ตรงจุดนี้มนุษย์อย่างพวกเราคงทำไม่ค่อยจะได้หรอก
เพราะซาเรียเติบโตมากับธรรมชาตินี่แหละถึงใสซื่อได้แบบนี้

「เฮ้อ-- นี่ไม่ใช่ที่ๆจะมาพรอดรักกันนะ ทางนี้เห็นยังอายแทนเลย」

เพราะคุณอัลโทเรียบอกเลยเริ่มรู้ตัวว่าทำเรื่องน่าอายต่อหน้าคนอื่น
แต่ว่าเพราะโชคดีหรือเปล่านะแถวๆนี้ถึงได้มีแค่คุณอัลโทเรีย
คุณอัลโทเรียที่แก้มแดงด้วยความอายนั้นก็ทอดสายตาไปไกลๆอย่างคาดไม่ถึง

「เอาเถอะ อย่างข้าน่ะเรื่องรักนี่ชั่วชีวิตนี้คงไม่ได้เจอเหรอก」
「เอ๋?」
「.............ไม่มีอะไรหรอกน่า  แทนที่จะมาห่วงเรื่องนั้นรีบๆไปกันได้แล้ว」

คุณอัลโทเรียปล่อยพวกเราไว้แล้วเข้าไปในโบสถ์

「อือออ................ดูจะทำให้โกรธซะแล้ว.........」
「ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกแต่...............คิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก」

ซาเรียพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มช่วยเยียวยาหัวใจของชั้น

◆◇◆

「ขอโทษนะ พอดีตอนนี้รับสมัครแค่คนเดียวน่ะ」

พอเข้าไปในโบสถ์แล้วอธิบาย ป้าซิสเตอร์ก็บอกกับพวกเราแบบนี้
แต่ว่านะ...............อย่างนี้ก็ทำคำร้องขอด้วยกันไม่ได้น่ะสิ

「ถ้าเป็นปกติล่ะก็ที่นี่จะมีซิสเตอร์สาวๆมาทำงานอยู่..........
แต่ตอนนี้เด็กพวกนั้นเขาออกไปทำธุระที่อื่นกัน พรุ่งนี้ก็กลับมากันแล้วแต่คนยังขาดอยู่นิดหน่อย
ก็เลยรับสมัครไปแค่คนเดียว.............นอกจากนั้นคำร้องขอครั้งนี้ก็เตรียมเงินไว้แค่คนเดียวด้วย」

อุตส่าห์มาถึงตรงนี้แล้วชั้นกับซาเรียต้องแยกกันเหรอเนี่ย
ปัญหาขนาดนี้พวกเราที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่หน้าใหม่แก้ไม่ได้แน่เลยไปถามคุณอัลโทเรีย

「เอ่อ.............กรณีที่ว่ามานี่ต้องทำยังไงเหรอครับ?」
「หา? ทำยังไง..............ก็รับไปสิ」
「เรื่องนั้นก็รู้อยู่หรอก.............แต่ถ้าทำคนเดียวแบบนี้อีกคนที่ไม่ได้ทำคำร้องขออื่น
ก็จะไม่มีอะไรทำน่ะสิครับ แล้วก็ต่อให้ไปทำคำร้องขออื่นจนเสร็จ
ผู้คุมสอบก็มีแค่คุณอัลโทเรียคนเดียวด้วย............」
「อ๋อ พูดถึงเรื่องนั้นสินะ คนที่รับคำร้องขอที่นี่ก็ไม่ได้จำเป็นต้องมีผู้คุมสอบอยู่ด้วยสักหน่อย」
「เอ๋?」
「คำร้องขอที่นี่ก็ไม่ได้มีอันตรายอะไรแถมเรื่องพฤติกรรมระหว่างการทำคำร้องขอแค่ถาม
เจ้าของคำร้องแค่นี้ก็รู้แล้ว เพราะงั้นผู้คุมสอบสำหรับที่นี่มีไว้แค่ประดับเท่านั้นแหละ」
「ง งั้นเหรอครับ..............」

พูดตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมอย่างสบายอารมส์เลยนะคนๆนี้
แต่ในทางกลับกัน ว่ากันตรงๆแบบนี้ก็รู้สึกสบายใจดีเหมือนกัน

「แล้ว? ใครจะเป็นคนรับคำร้องขอนี้ล่ะ?」

ระหว่างที่กำลังคิดอยู่คุณอัลโทเรียก็โพล่งถามขึ้นมา
แล้วขณะที่กำลังหันหน้าไปปรึกษากับซาเรีย ซาเรียก็แสดงสีหน้าดูสนุกสนานขึ้นมา

「เซอิจิ!ฉันอยากทำนะ!」
「เอ๋?แต่............จะไหวเหรอ?」

ถึงรูปร่างตอนนี้จะเป็นมนุษย์แต่ซาเรียเป็นมอนเตอร์ แล้วจะดูแลเด็กที่เป็นมนุษย์ได้เหรอ?
แต่คุณอัลโทเรียก็กลั้นหัวเราะแล้วพูดกับชั้นที่แอบกังวลอยู่ในใจ

「คุคุคุ.............แกน่ะดูตัวเองแล้วค่อยพูดเถอะ
ต่อให้ใครมอง คนที่เหมาะกับงานนี้ก็ต้องเป็นซาเรียอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง」
「............นั่นสิเนอะ」

ให้ผู้ชายใส่เสื้อคลุมมาดูแลเด็ก.............อะไรหลายๆอย่างมันไม่ได้อยู่แล้ว
ดูเป็นอาชญากรซะมากกว่า
ยิ่งเปรียบเทียบกับซาเรียที่ภายนอกเป็นสาวสวยสุดๆยิ่งเหมาะกว่าชั้นเห็นๆ

「เข้าใจแล้ว ถ้างั้นซาเรียก็พยายามเข้านะ?」
「อื้ม」

พอเห็นซาเรียพยักหน้าอย่างแข็งขันป้าซิสเตอร์พูดขึ้น

「ตกลงว่าเป็นคุณหนูผู้น่ารักทางนี้สินะ?」
「ฉันชื่อซาเรียค่ะ ถึงจะเป็นช่วงสั้นๆแต่ก็ขอฝากตัวด้วยค่ะ!」
「แหม ขอบคุณที่สุภาพด้วยนะ ฉันเป็นผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้
แคร์ ฮัสเตอร์ เรียกว่าแคร์ก็ได้」

ซิสเตอร์คนนี้เป็นผู้อำนวยการงั้นเหรอ มองไม่ออกเลยแต่ก็คนละความหมายกับกัลซุสอ่ะนะ
จะว่าไงดีล่ะ.............รู้สึกเหมือนเป็นคนธรรมดามากกว่าคนใหญ่โตอะไรแบบนี้

「ก็ดี งั้นซาเรียวันนี้ทั้งวันก็พยายามเข้าล่ะ ไว้เซอิจิทดสอบเสร็จค่อยกลับมารับนะ 」
「อื้ม!」

พอซาเรียตอบกลับมาแล้ว ชั้นกับคุณอัลโทเรียก็ออกจากบ้านเด็กกำพร้า

◆◇◆

「เอ่อ........แล้วต่อไปจะไปไหนกันเหรอครับ?」
「นั่นสินะ..........คิดว่าน่าจะทำ『รื้อซากตึก』ให้เสร็จก่อนดีกว่า
ถ้าเหลืออันลำบากไว้ทีหลังเดี๋ยวหมดแรงกันพอดี」

ก็จริงนะ แค่พาหมาไปเดินเล่นเนี่ยจะทำเมื่อไรก็ได้ ถึงอยากจะให้พาสัตว์เลี้ยงของตัวเอง
ไปเดินเล่นเอง............. แต่เอาเถอะอาจจะมีเหตุผลที่พาไปไม่ได้อยู่ก็ได้
ระหว่างที่คิดถึงเรื่องคำร้องขอ ชั้นกับคุณอัลโทเรียก็เดินไปตามใจกลางเมือง
ระหว่างนั้นคุณอัลโทเรียรักษาระยะห่างกับชั้นไว้ช่วงหนึ่งไม่เข้ามาใกล้เลย
ย่านที่ชั้นกับคุณอัลโทเรียเดินไปนั้นมีตึกกำลังก่อสร้างจำนวนมาก
เห็นคนที่เหมือนช่างไม้อยู่กระจัดกระจายซึ่งแต่ละคนกำลังทำบ้านอยู่
ระหว่างที่เดินไปตามถนนไม่ปริปากพูดกันซักคำนั่นเอง ก็รู้สึกตัวว่าตรงหน้ากำลังมีเด็กวิ่งมาทางนี้
เพราะเด็กกำลังเล่นไล่จับกับเพื่อนๆเลยวิ่งมาอย่างเต็มที่โดยไม่รู้สึกถึงพวกเราเลย
และแล้วเด็กก็มาชนกับคุณอัลโทเรียอย่างแรง

「อูย............เจ็บอ่า..........」

ในสภาพที่เข้ามาชนนั้นเด็กก็เริ่มร้องไห้ออกมา
หัวเข่าของเด็กที่มาชนมีแผลถลอกขนาดชั้นดูยังรู้เลยว่าเจ็บมากทีเดียว
ชั้นเลยจะเข้าไปพยุงเด็กที่ล้มให้ลุกขึ้นมาแต่คุณอัลโทเรียกลับอุ้มเด็กให้ลุกขึ้นยืนแทน

「เอ้า ร้องไห้ไม่ได้นะ ผู้ชายไม่ใช่เหรอไง」
「อู.............」
「อา...........เจ็บล่ะสิ...........รอเดี๋ยวนะ จะทำให้หายเดี๋ยวนี้แหละ」

คุณอัลโทเรียว่าแล้วก็หยิบขวดเล็กๆที่ใส่ของเหลวสีเขียวอันนึงออกมาจากสิ่งที่น่าจะเป็นไอเท็มบ็อก
พอเห็นคนต่างโลกสามารถใช้ไอเท็มบ็อกได้แบบนี้ ชั้นที่ใช้ไอเท็มบ็อกได้ก็ไม่น่าจะแปลกอะไร
ทำไมเรื่องแบบนี้พึ่งมานึกได้นะ
เอาเหอะ ปัจจัยที่ทำให้น่าสงสัยหายไปก็น่าดีใจแหละ
คุณอัลโทเรียเอาของเหลวจากในขวดเล็กๆเทใส่ผ้าเช็ดหน้าแล้วค่อยๆประคบที่หัวเข่าของเด็ก

「เจ็บ!」
「อดทนหน่อย  กำลังรักษาให้อยู่」

จากนั้นพอเอาผ้าเช็ดหน้าประคบกับหัวเข่าของเด็กไปได้ซักพัก
แผลที่มีอยู่เมื่อตะกี้ก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

「นี่ไง ไม่เป็นไรแล้วนะ」
「ว้าว!พี่สาว ขอบคุณนะ!」

บางทีที่ใส่อยู่ในขวดเล็กๆตะกี้คงเป็นยารักษาอะไรแบบนี้ล่ะมั้ง
ว่าแต่ยารักษานี่ไม่ต้องดื่มแค่ไปทาแผลก็ใช้ได้แล้วเหรอ........
ยังไงก็ตามแต่แผลของเด็กหายก็ดีแล้วล่ะ
ชั้นเองก็กะว่าจะเอายารักษาชั้นเยี่ยมออกมาจากไอเท็มบ็อกเหมือนกัน
แต่ว่าคุณอัลโทเรียเนี่ยดูแลใส่ใจคนอื่นดีจังผิดกับท่าทางและคำพูดคำจาเลย
แถมยังตอบคำถามของชั้นเป็นอย่างดีด้วย
แล้วตอนที่มองคุณอัลโทเรียกับเด็กอย่างประทับใจนั่นเอง

「อ อันตราย!」

มีเสียงร้องแบบนั้นมาที่หูของพวกเรา
พอคิดว่ามีอะไร ทันใดนั้นที่ขอบสายตาก็เห็นไม้สร้างบ้านขนาดใหญ่
กำลังล้มลงมาใส่ตรงที่ๆคุณอัลโทเรียกับเด็กอยู่พอดี
.............นี่มันไม่ใช่เวลามานั่งวิเคราะห์อย่างใจเย็นแล้ว!

「คุณอัลโทเรีย!」

ชั้นปลดปล่อยพลังในทันทีแล้วในตอนที่ก้าวขาไปเพื่อจะไปรับไม้สร้างบ้านไว้นั่นเอง

「เฮ้อ...........ไม่ไหวเลยนะข้านี่..............」

ใช่แล้วคุณอัลโทเรียทำแค่บ่นพึมพำเบาๆ
ส่วนเด็กที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ได้แต่ยืนงง
จากนั้นคุณอัลโทเรียก็จัดการกับสถานการณ์นี้ได้ไวกว่าที่ชั้นจะทำซะอีก

「ฮึบ!」

คุณอัลโทเรียใช้มือข้างเดียวรับไม้สร้างบ้านไว้ได้อย่างสบายๆ
แล้วก็ผลักลงไปบนพื้นทั้งอย่างนั้นโดยไร้รอยแผล
การเคลื่อนไหวในชั่ววินาทีนั้นเป็นไปอย่างนุ่มนวลมาก
เพราะงั้นเลยรู้สึกอย่างกับสังหรณ์ใจไว้อยู่แล้วว่าต้องกลายเป็นแบบนี้เลย

「...........เอ้าไม่เป็นไรแล้วล่ะ รีบๆไปได้แล้ว」
「อือ............」

เด็กที่สติกลับมาด้วยคำพูดของคุณอัลโทเรียก็รีบร้อนออกไปจากที่ตรงนั้น

「ท โทษทีนะ...........เป็นไรมั้ย?」
「หือ ไม่ต้องใส่ใจหรอกน่า」

ชายช่างไม้ที่ทำไม้สร้างบ้านหล่นใส่มาขอโทษคุณอัลโทเรียด้วยความเสียใจ
หลังจากคุณอัลโทเรียรับคำขอโทษแบบง่ายๆแล้วก็หันมาทางชั้น

「เอ้า รีบไปกันเถอะ? ปล่อยให้ซาเรียรอไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ」
「เอ๋? อะ ครับ」

แล้วชั้นที่รู้สึกสับสนกับท่าทางดูเหงาๆตรงไหนสักแห่งของคุณอัลโทเรีย
ก็มุ่งไปยังซากตึกที่เป็นคำร้องขอ
เดินผ่านเมืองไปกันจนถึงซากตึกโดยไม่พูดอะไรกันสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อมาถึงตรงหน้าซากตึกชั้นก็ถามกับคุณอัลโทเรีย

「ที่นี่............เหรอครับ?」
「............คงใช่แหละ」

ตึกตรงหน้าพวกเรานั้นทรุดโทรมแบบเปิดรับลมฝนจนเหมือนกับตึกจะพังลงมาซะเดี๋ยวนี้เลย
ถ้าเกิดมันยังดีอยู่ล่ะก็บ้านค่อนข้างใหญ่โตแบบนี้คงน่าอยู่ทีเดียว

「ทำไมถึงเป็นสภาพนี้ได้นะ?」
「ก็พอเจ้าของคนก่อนตาย การบำรุงรักษาหลังจากนั้นก็ยุ่งยาก
พวกบรรดาญาติๆเลยปล่อยทิ้งไว้ส่วนผลลัพธ์ก็แบบนี้แหละ」

สำหรับคนญี่ปุ่นที่เป็นพวกเสียดายของสุดๆคงรับไม่ได้แน่
คิดดูแล้วบ้านใหญ่ขนาดนี้เป็นขุนนางที่ไหนรึเปล่าน้า?
ทั้งๆที่ถ้าดูแลก็ต้องเป็นบ้านที่ดีแท้ๆ...............
แต่ว่านะถึงบอกว่าปล่อยทิ้งไว้มันก็ควรมีขีดจำกัดกันบ้าง ตกลงเจ้าของตายไปแล้วกี่ปี่เนี่ย?

「แล้วแค่พังบ้านนี้ให้ราบก็พอใช่มั้ยครับ?」
「นั่นสินะ เอาเถอะ ที่ต้องทำต่อจากนี้ก็คือ-----------」
「งั้นจะไปพังล่ะนะครับ」
「............หา?」

พอฟังที่ชั้นพูดคุณอัลโทเรียก็ส่งเสียงงงๆออกมา
แต่ว่าชั้นไม่รู้ตัวเลยเดินดุ่มๆเข้าไปที่ซากตึก
ตอนที่มาถึงก็คิดอยู่แล้วนะแต่เป็นบ้านที่ใหญ่จัง
ถึงจากที่เห็นดูจะพังลงมาได้ทุกเวลาแต่ก็ไม่ถึงระดับที่เอามือไปแตะแล้วจะพังลงมาสักหน่อย
แต่ถ้าชั้นปลดปล่อยพลังก็น่าจะพังได้ง่ายๆล่ะมั้ง
พอชั้นได้ข้อสรุปอย่างนั้นแล้วก็ปลดปล่อยพรางพลัง
ถ้าสเตตัสที่อีกฝ่ายเห็นไม่เปลี่ยนบรรยากาศก็ไม่น่าจะเปลี่ยน
งั้นคุณอัลโทเรียก็ไม่น่าจะรู้สึกถึงพลังสัตว์ประหลาดของชั้นด้วยล่ะมั้ง

「จะทำอะ--------」
「ย้าก」

คำพูดของคุณอัลโทเรียถูกขัดจากการที่ชั้นต่อยเบาๆไปตรงเสาที่ค้ำซากตึกพร้อมส่งเสียงออกแรงนิดๆ
พริบตานั้นเองเสาที่ชั้นต่อยไปก็กระจายเป็นชิ้นๆ
พร้อมกันนั้นด้วยแรงกระแทกของกำปันก็เกิดคลื่นกระแทกจนเสาที่อยู่รอบๆกระจายไปด้วยเช่นกัน
..........อืม ระดับนี้ก็สมแล้วล่ะนะที่มีอาชีพเป็นสัตว์ประหลาด
ไม่อยากเชื่อเลยแค่แรงส่งกำปั้นยังเป่ากำแพงได้ ยิ่งกว่านั้นแค่ต่อยเบาๆเองนะเนี่ย..............

「อ้ะ!?」

เสียงตกใจจากคุณอัลโทเรียที่อยู่ข้างหลังก็พอเดาๆได้
ก็นะ...........อยู่ดีก็ต่อยเสาซะปลิวเลยนี่นา ต้องงงกับที่เห็นอยู่แล้ว
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นคงเพราะคุณอัลโทเรียกสติกลับมาได้เลยตะโกนออกมาทันที

「เฮ้ย เจ้าบ้านี่!」
「เห?」

ในเวลานั้นชั้นไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณอัลโทเรียถึงตะโกนด่า
ทำไมล่ะทั้งๆที่ทำคำร้องขอเสร็จได้ด้วยดีทำไมต้องตะโกนด่ากันด้วย
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง
ชั้นดันซัดเสาซะกระจายกำแพงก็แหลกละเอียดไปด้วย
บ้านทั้งหลังที่ง่อนแง่นอยู่แล้วจนถึงตอนนี้เลยเริ่มพังลงมา
ชั้นที่ตกใจอยู่กับเหตุการณ์กะทันหันนั้นเลยขยับตัวไม่ได้
พริบตาที่เงยหน้าขึ้นไปดูชั้นก็ได้เห็นหลังคาบ้านกับเพดานที่เสาค้ำไว้ร่วงลงมาแบบสโลโมชั่น
..........ลืมไปสนิทเลย การที่จะพังน่ะมันต้องใส่ใจจุดที่จะพังลงมาด้วย
เรื่องหลบเองก็ลืมด้วยชั้นคิดได้ก็สายไปซะแล้ว
ผลลัพธ์คือชั้นรับเศษหินของซากตึกเข้าไปเต็มๆ

◆◇◆

「เฮ้ย เจ้าบ้า!」
「หา?」

ข้า----------อัลโทเรีย เกรม กำลังตะลึงกับกองเศษหินตรงหน้า
โดยตะโกนใส่เจ้าคนที่พึ่งได้รู้จักกันวันนี้
แต่ที่ข้าตะโกนไปนั้นสูญเปล่าเศษหินจำนวนมากร่วงใส่หัวเจ้าหมอนั่นอย่างไม่ปราณี
ด้วยเสียงที่ดังสนั่นและฝุ่นที่ฟุ้งกระจายทำให้สภาพที่เห็นแย่ลงในชั่วพริบตา

「ปัดโธ่เว้ย!」

พอสบถแล้วก็รีบวิ่งไปที่กองเศษหิน
ข้ากัดริมฝีปากด้วยความผิดหวังในตัวเอง
มีคนต้องมาเคราะห์ร้ายเพราะข้าอีกแล้ว............ ทั้งที่สาบานว่าจะไม่ทำให้ใครต้องเจ็บอีกแล้วแท้ๆ

「ขอให้ปลอดภัยทีเถอะ.........!」

ถึงเป็นคนที่พึ่งรู้จักวันนี้แต่ถ้าต้องมาเกี่ยวข้องกับข้าล่ะก็ยังไงก็ต้องให้เรื่องมันจบอย่างปลอดภัยให้ได้
ทั้งอย่างนั้น..........ทั้งที่ควรเป็นอย่างนั้น..........!
ข้าเข้าไปกลางทัศนวิสัยที่แย่นั้นแล้วพยายามขุดเศษหินออกมาโดยในใจก็ด่าว่าตัวเองอย่างหนักไปด้วย
ทว่าหูของข้าที่กำลังขุดเศษหินอย่างเอาเป็นเอาตายกลับได้ยินเสียงที่ไม่ได้คิดมากอะไรเลย

「แหวะแหวะ!แบร่ะ...........ในปากมีทรายเข้าไปด้วย...........」
「เอ๋?」

เสียงนั่นคือเสียงของชายที่พึ่งจะรู้จักกันที่น่าจะถูกเศษหินตรงหน้ากลบทับอยู่
-------------เสียงของเซอิจินั่นเอง
เซอิจิ............เมื่อตะกี้น่าจะถูกกองภูเขาเศษหินถล่มใส่นี่นา?
ระหว่างที่คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในหัว ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายจนทัศนวิสัยแย่ก็แจ่มชัดขึ้น

「รีบร้อนไปหน่อยแฮะ............คาดไม่ถึงเลยว่าเศษหินจะร่วงใส่ชั้นได้」

และตรงหน้าฝุ่นฟุ้งกระจายที่แจ่มชัดขึ้นนั่นเอง
ก็ปรากฏเป็นเซอิจิที่ไร้รอยแผลโดยกำลังเอามือปัดฝุ่นทรายที่ติดกับเสื้อคลุม

「เอ๋?ไม่สิ..........ก็มัน?」

มือที่ขุดเศษหินอย่างต่อเนื่องก็หยุดลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
ข้าไม่อยากเชื่อเลยกับภาพที่เห็นตรงหน้า
คนที่เข้าใกล้ข้าทุกคนต่างต้องโชคร้ายทั้งนั้นโดยไม่เกี่ยวกับความตั้งใจของข้าเอง
ตอนไปบ้านเด็กกำพร้าก็ประหลาดใจอยู่ที่ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ตอนมาถึงซากตึกก็เป็นตามที่คิดเลยว่าข้าทำให้คนอื่นต้องโชคร้ายจริงๆด้วย
ตึกที่จะพังมิพังแหล่แบบนี้ถึงพังง่ายแต่ก็อันตรายมาก
เพราะงั้นจำเป็นต้องทำลายอย่างระมัดระวัง
แต่ถึงอย่างนั้นต่อให้ระวังแค่ไหนก็ไม่มีทางหลบเลี่ยงอันตรายได้ทั้งหมดแน่
นี่แหละคือเหตุผลที่คิดว่าทำให้คนอื่นโชคร้ายอีกแล้วตอนมาถึงที่ซากตึกนี่
ยิ่งกว่านั้นเจ้าคนที่โชคร้ายจากการเข้าใกล้ข้าต้องบาดเจ็บตรงไหนซักแห่งอย่างแน่นอน
และแน่นอนอยู่แล้วว่าถ้าร่างกายได้รับบาดเจ็บตรงไหนขึ้นมาล่ะก็ต้องกลายเป็นแผลใจไปอีกแน่
ทั้งที่ควรเป็นอย่างนั้นแต่เซอิจิตรงหน้ากับไม่มีแผลเลยซักรอย
หนำซ้ำยังดูสบายดีขนาดปัดฝุ่นทรายที่เสื้อคลุมด้วย
เพราะแบบนี้แหละถึงไม่สามารถเข้าใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ทั้งที่สถานการณ์แบบนั้นจะบาดเจ็บหนักก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่นี่กลับไม่มีแผลเลยซักรอยเดียว
ข้าที่ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้นพอมองดูเซอิจิที่ไร้รอยแผลก็รู้สึกถึงเรื่องบางอย่าง
นั่นคือมีเพียงรอบๆเซอิจิเท่านั้นที่ไม่มีเศษหินเลยซักอันเดียว...........อย่างกับหลบเซอิจิออกไปหมด
เป็นปาฏิหารย์อะไรแบบนั้นเหรอ?
ข้าที่มีแต่โชคร้ายมาตลอด ได้มีช่วงเวลาที่สัมผัสกับคำว่าโชคดีในโชคร้ายเป็นครั้งแรก

「...............นี่มันไม่ใช่เวลามาซาบซึ้งอะไรแปลกๆซักหน่อย!」

ครั้งนี้เพราะได้ปาฏิหารย์ที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเซอิจิถึงได้ปลอดภัย
แต่ถ้าครั้งหน้ายังทำอะไรตามอำเภอใจนี่แหละจะลำบาก
ดังนั้นข้าเลยเข้าไปตะโกนด่าเซอิจิทันที

「เจ้าบ้านี่!อย่าทำอะไรตามอำเภอใจโดยไม่ฟังคำแนะนำสิเฟ้ย!」
「เอ๋?」

เพราะฮู้ดเลยดูสีหน้าไม่ออกแต่เซอิจิคงกำลังไม่เข้าใจว่าโกรธอะไรอยู่แน่
เพราะมีบรรยากาศแบบนั้นส่งออกมา

「ฟังนะ!?ที่นายกำลังทดสอบอยู่นี่คือเพื่อที่จะเป็น『นักผจญภัย』!
แล้วมันก็เป็นงานที่มีอันตรายควบคู่ไปด้วยอยู่เสมอ! ไม่รู้หรอกนะว่านายคิดจะทำอะไร
แต่เรื่องนี้น่ะเข้าใจมั้ย!?」
「เรื่องนั้น............」
「แล้วยังไม่รอคำแนะนำของข้าทำอะไรตามอำเภอใจ...........
ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมันก็สายไปแล้วเฟ้ย!?」
「...............」
「.............ฟังนะ?ถ้าอยากเป็น『นักผจญภัย』ล่ะก็ แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่จงจำไว้ให้มั่น
ความสามารถที่จำเป็นที่สุดของ『นักผจญภัย』ไม่ใช่พลังที่แข็งแกร่งหรือพลังเวทที่ล้นเหลือ
หรือเทคนิคเหนือล้ำหรือสติปัญญาอันล้ำเลิศหรืออะไรทั้งนั้น
แต่เป็น『ความสามารถที่รู้สึกได้ถึงอันตราย』ต่างหาก」
「...............」
「ต่อให้เป็นคนที่เจ๋งขนาดไหนถ้าขาดความสามารถนี้ไปก็ตายได้ง่ายๆ
ซากตึกที่เห็นครั้งนี้ก็คงคิดสินะว่ามันพังได้ง่ายๆ?」
「ครับ.............」
「แล้วผลลัพธ์นั่นเมื่อตะกี้นายก็ได้เจอแล้วนี่
ต่อให้ถูกเรียกว่าขี้ขลาดแต่คนที่ค่อยๆค้นหาเส้นทางปลอดภัยนั่นแหละคือคนที่เจ๋งที่สุด
..............เพราะถ้าตายไปมันก็ไร้ความหมายจริงมั้ยล่ะ?」
「............」
「เอาเถอะ ถึงพูดรุนแรงไปแต่ครั้งนี้ข้าเองก็มีส่วนเหมือนกัน.................」
「เอ๋?」
「...........ยังไงก็ตามแต่ต่อไปก็ทำอะไรระวังหน่อยล่ะ นายน่ะมีซาเรียอยู่
ตัวตนของนายมันสำคัญกว่าที่นายคิดนะ
คนที่ปกป้องร่างกายตัวเองไม่ได้คิดเหรอว่าจะไปปกป้องคนสำคัญได้
................ก็ไม่คิดหรอกว่าจะทำอะไรรอบคอบได้ทันที เอาเป็นว่าข้าจะช่วยซักพักแล้วกัน」
「...........ครับ ขอบคุณมากครับ เอ่อแล้วก็............ต้องขอโทษด้วยนะครับ」

พอเซอิจิรับฟังคำพูดของข้าเรียบร้อยแล้วก็โค้งให้ข้า
ถึงจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับความตั้งใจของข้าแต่ยังไงก็เกลียดสภาพของข้าที่ดึงคนอื่นมาพัวพันด้วยอยู่ดี
ข้าที่พูดเรื่องที่อยากพูดออกไปรวดเดียวแล้วก็ถอนหายใจจากนั้นก็เสริมไปให้เล็กน้อย

「.........เอาเถอะ แบบว่า..............ยังไงดีล่ะ ปลอดภัยก็ดีแล้ว」

เพราะเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงๆถึงตัวเองพูดเองก็อายยังไงชอบกล
ข้าเลยหันสายตาหนีเซอิจิโดยไม่รู้ตัว

◆◇◆

ชั้น ฮิรากิ เซอิจิ ได้ฝังสิ่งที่คุณอัลโทเรียพูดเมื่อตะกี้ลงในอกเป็นอย่างดี
แน่นอนเพราะสิ่งที่ชั้นทำมันไม่สมควร
ใช้พลังของตัวเองง่ายๆเพื่อให้จบโดยไม่รู้จักคิดแล้วผลลัพธ์ก็คือแบบนี้ไง
ชั้นไม่ใช่ว่าเชื่อมั่นในพลังของตัวเองมากเกินไปหรอกนะ
แต่เพราะไปเคยชินผิดๆแบบแปลกๆเลยไม่ทันรู้ตัว
ตอนการใช้สกิลนั่นก็ด้วยต่อให้สเตตัสสุดยอดก็ตามแต่ถ้าสเตตัสมีไว้แค่โชว์ไปงั้นๆมันก็ไร้ความหมาย
ตัดสินใจไปเองว่าคำร้องขอสายเบ็ดเตร็ดมันเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย
แล้วก็ถูกงานเบ็ดเตร็ดนั่นแหละทำให้รู้ถึงความอ่อนประสบการณ์ของตัวเอง
แต่ว่าครั้งนี้ก็ได้เรียนรู้มาแล้ว ต่อไปชั้นจะไม่ทำพลาดเหมือนครั้งนี้อีก
แน่นอนว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็เรียกได้ว่ามีเรื่องให้เก็บเกี่ยว
นอกจากนั้นก็ยังรู้สึกดีใจที่คุณอัลโทเรียคิดจริงจังกับเรื่องของชั้นจนตะโกนดุด่าให้
คนที่พึ่งจะรู้จักกันวันนี้แล้วยังต้องมารับภาระเรื่องของชั้นกับซาเรียที่ไม่รู้อะไรกันเลยอีก
ถึงอย่างนั้นก็ยังช่วยคิดอย่างใส่ใจ..................
คนที่มาดุด่าอย่างจริงจังนอกจากพ่อแม่แล้วก็ไม่มีเลย จะว่าไงดีล่ะ...........จั๊กจี๊หัวใจจังแฮะ
คนๆนี้จริงๆแล้วก็เป็นคนดีนี่นา
ทั้งอย่างนั้นแล้วทำไมสีหน้าถึงดูเปล่าเปลี่ยวจังล่ะ............ทำไมถึงเว้นระยะห่างจากพวกเราก็ไม่รู้ด้วย
เคืองตัวเองที่ช่วยอะไรไม่ได้จัง
...............ถ้าทำได้ก็อยากจะเป็นกำลังให้
แม้จะคิดอย่างนั้นอยู่แต่ซากตึกที่เป็นคำร้องขอชิ้นแรกก็พังเรียบร้อยแล้ว
ถ้าคำร้องขอจบแค่นี้จริงๆล่ะก็ต่อไปก็เป็นพาหมาไปเดินเล่น...........

「เอ่อ.............จะว่าคำร้องขอเรียบร้อยแล้วก็ได้สินะครับ?」
「ก็นะ แยกเป็นชิ้นๆแถมพังซะขนาดนี้ ก็คิดว่าเรียบร้อยได้แหละ」
「งั้นเหรอครับ............แต่เอ๊ะ?จะว่าไปใครเป็นคนขอให้ทำงานนี้ล่ะ?
ยิ่งกว่านั้นดันไปพังเองคนเดียวซะด้วย..................ไม่มีคนอื่นรับคำร้องขอนี้ด้วยเหรอครับ?」
「อืม มันเป็นคำร้องขอจากประเทศน่ะ ยิ่งกว่านั้นก็ไม่มีใครมารับงานนี้ด้วย
ก็มันเป็นงานที่ยุ่งยากซะขนาดนี้นี่นา」
「เอ๋? ยังไงมันก็เป็นคำร้องขอจากประเทศนะ? ปล่อยไว้เฉยๆแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?」
「ไม่เห็นเป็นไรนี่นา ไงซะก็ไม่ได้เป็นคำร้องขอเร่งด่วน
แถมไม่ได้เป็นคำร้องขอโดยตรงจากพวกเชื้อพระวงศ์ด้วย
นอกจากนั้นให้พูดตามตรงก็คือซากตึกนี้น่ะปล่อยไว้ก็ไม่มีใครเดือดร้อนสักหน่อย
เจ้าของเองก็สละสิทธิ์ไปแล้วด้วย」

มันก็สมควรอ่ะนะ แต่แบบนี้จะไหวเหรอ?
ขณะที่ยังกังวลอยู่ในใจคุณอัลโทเรียก็เสริมให้

「เอาเถอะ เหตุผลใหญ่ที่สุดก็เพราะกิลด์เป็นองค์กรที่ไม่ถูกแทรกแซงจากประเทศนั่นแหละ..........」
「ไม่ถูกแทรกแซงจากประเทศ..........เหรอ?」
「ใช่แล้ว เพราะงั้นถึงจะตั้งอยู่ในประเทศอย่างมากก็แค่รับคำร้องขอสำคัญของประเทศ
นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้สังกัดกับประเทศอะไรทั้งนั้นแหละ
ถ้าเข้าร่วมกิลด์ก็จำไว้นะ กิลด์น่ะก็คือ『ประเทศ』ที่เป็นเอกราชดีๆนี่แหละ」
「ประเทศ.............」
「อา เพราะงั้น.............ต่อให้ประเทศขัดแย้งกันแล้วมีคำร้องขอมาพวกข้าก็ไม่เข้าไปยุ่งให้เมื่อยหรอก
แล้วคำขอพรรณนั้นทั่วไปมันของทหารรับจ้างไม่ใช่ของนักผจญภัย」

ทหารรับจ้างเหรอ........... อาจจะเรียกว่าไม่ค่อยจริงจังกันเลยแต่ฟังดูก็เท่ห์ดีนะ

「อ้ะ จริงสิ.........งานช่วยบ้านเด็กกำพร้าคนจ้างเป็นซิสเตอร์ ค่าตอบแทนเลยรับที่นั่นได้ทันที
แต่ค่าตอบแทนที่ทำคำร้องขอสำเร็จของนาย จบวันนี้แล้วกลับไปเอาที่กิลด์นะ」
「เอ่อ เข้าใจแล้วครับ」
「งั้นก็ไปต่อคำร้องขอสุดท้าย------------ไปพาหมาเดินเล่นกัน」
「จากที่พูดฟังดูกระจอกสุดๆเลยนะเนี่ย」

เอาเถอะ ยังไงก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะต้องไปเจออะไรแบบไหน
จะตัดสินเลยว่าจิ๊บจ๊อยก็ไม่ได้ คำร้องขอตะกี้ก็เจอมากับตัวแล้ว
พอสนทนากันเสร็จแล้วพวกเราก็ไปยังสถานที่ของคำร้องขอสุดท้ายกัน
ในช่วงเวลานั้นการพูดคุยกันกับคุณอัลโทเรียต่างกับตอนที่เดินไปซากตึกมากเลย
มีได้รับการแนะนำเกี่ยวกับเมืองเทลเวลแบบคร่าวๆด้วย
รู้สึกเลยว่าได้คุณอัลโทเรียเป็นผู้คุมสอบนี่ดีจริงๆ
อีกทั้งถึงจะทำคำร้องขอในครั้งนี้เสร็จทั้งหมดก็ยังเหลือสายเก็บของกับปราบปราบ.........
เดินกันไปอย่างนี้ไม่นานนักพวกเราก็มาหยุดที่ตรงหน้าคฤหาสน์ใหญ่โตหลังหนึ่ง

「ที่นี่แหละ」
「เห..............ที่นี่จริงเหรอ!?」

ตะโกนออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ก็คิดว่าอยู่ๆทำไมมาหยุดยืนหน้าบ้านใหญ่โตแบบนี้ ตกลงที่นี่เป็นสถานที่ของคำร้องขอสุดท้ายเหรอ!?
แล้วคุณอัลโทเรียก็อธิบายคร่าวๆให้โดยไม่ใส่ใจอาการตกใจของชั้น

「แถวๆนี้น่ะเป็นละแวกที่พวกขุนนางอาศัยอยู่มากเรียกว่า『เขตชนชั้นสูง』
แล้วคนที่ให้พวกกิลด์ของข้าทำคำร้องขอสุดท้ายนี้คือคุณหญิงอโดเรียน่าที่อาศัยอยู่บ้านหลังนี้
มีสามีเป็นท่านเคานต์ด้วย อย่าเสียมารยาทล่ะ」
「จ จะบยายามกั๊บ」

พอหลุดคำพูดแบบติดๆขัดๆออกมา คุณอัลโทเรียก็มองชั้นแล้วยิ้มแห้งๆให้

「เอาน่า ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ เห็นว่าเป็นคนที่ใจดีมากเลยล่ะ」
「ค ครับ..............」

พอฝืนตอบกลับไปแล้วคุณอัลโทเรียก็ก้าวนำเข้าไปยังคฤหาสน์ใหญ่โตตรงหน้า
มีรั้วอิฐที่ยาวเว่อร์กับประตูหรูหราสีดำ
พอผ่านประตูรั้วเข้าไปก็เจอสวนที่มีดอกไม้หลากสีสรรบานสะพรั่งเข้ามาสู่สายตา
มีน้ำพุอยู่ในสวนด้วยไม่รู้ว่าใช้อุปกรณ์เวทมนตร์หรืออะไรทำ
แม้ภาพที่เห็นจะทำเอาพูดไม่ออก แต่ก็หยุดสังเกตุไม่ได้
ก็คิดอยู่นะว่ามองนั่นมองนี่ไปทั่วมันเสียมารยาทยังไงไม่รู้แต่มันสุดยอดขนาดนี้ก็ช่วยไม่ได้แหละนะ
พอผ่านทางเดินที่ทอดยาวมาจากประตูก็มาถึงบริเวณทางเข้าประตูไม้อย่างหนา
จากนั้นคุณอัลโทเรียก็กดปุ่มที่ติดไว้ข้างๆประตูโดยไม่มีการลังเลเลยแม้แต่น้อย
ปิ๊งป๊อง
..............หา?
เอ๊ะ? เสียงกริ่ง? กริ่ง? ไม่สิ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน...............ทำไมที่ต่างโลกอย่างที่นี่ถึงมีกับเขาด้วยอ่ะ?
เลยเผลอไปจ้องปุ่มที่คุณอัลโทเรียกดเข้าไป
เอ...........นี่มันทำลายภาพลักษณ์ของต่างโลกแบบสุดๆเลยนะเนี่ย นี่ก็อุปกรณ์เวทมนตร์ด้วยเหรอ?
มันไม่ใช่ระดับช่วยอำนวยความสะดวกแล้ว มันระดับเอาแต่สะดวกชัดๆ
เอาเถอะ ถ้ามีวิธีเรียกคนที่มันง่ายล่ะก็ชั้นเองก็ใช้อย่างไม่เกรงใจเหมือนกันแหละ..............
เอาไงก็เอา!คิดมากไปก็ปวดหัวเปล่าๆ!
ระหว่างที่คิดเองเออเองอยู่คนเดียว หลังจากกดกริ่งได้สักพักประตูไม้อย่างหนาก็เปิดออก

「ใครเหรอค้า~?」

ที่ออกมานั้นคือหญิงวัยกลางคนผมทองสลวย มีตีนกาอยู่นิดหน่อย เป็นผู้หญิงที่สวยพอตัว
ถึงจะไม่ถึงกับหรูหราแต่ก็ใส่ชุดเดรสสีฟ้าอ่อนแบบผู้ดี

「รับคำร้องขอจากกิลด์มาค่ะ」

ทันใดนั้นคุณอัลโทเรียก็พูดออกไปโดยไม่มีอาการตึงเครียดใดๆเลย
ทั้งที่ชั้นตึงเครียดจนพูดไม่ออกแท้ๆ.............
พอรับคำพูดของคุณอัลโทเรียแล้วหญิงวัยกลางคนผมทองก็ยิ้มออกมา

「แหม!กำลังรออยู่เลย!ที่มานี่ก็หมายความว่า...........ขอให้ทำเลยก็ได้ใช่มั้ยคะ?」
「อา ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ」
「ดีจัง!พอดีพ่อบ้านที่ทำหน้าที่พาไปเดินเล่นบาดเจ็บ?
ความจริงฉันก็อยากจะพาไปเองแต่มันยุ่งยากหลายๆอย่าง เพราะงั้นช่วยได้มากเลยค่ะ!」

อย่างนี้นี่เอง ก็สมเป็นขุนนางแหละนะ ขนาดเดินเล่นยังเป็นงานของคนใช้เลย สถานะต่างกันชิบ!

「แล้ว หมาที่จะให้ไปเดินเล่นนี่?」
「นั่นสินะคะ จะพาไปเดี๋ยวนี้ล่ะ」

พูดแบบนั้นแล้วหญิงวัยกลางคนผมทองก็ออกจากประตูมา

「อ้ะ? แล้วคนสวมฮู้ดผู้นี้คือ?」
「อา ขอโทษด้วยคือคนรับคำร้องขอนี้ไม่ใช่ข้า..........เอ้ยไม่ใช่ ฉันหรอกค่ะ
เป็นชายคนนี้ต่างหาก .............เฮ้ยแกน่ะ!ใส่ฮู้ดอยู่ได้!เสียมารยาทนะ!?」
「ครับ!?」

แหม ก็รู้อยู่หรอกน่าว่ามันเสียมารยาท.............!
แต่ถอดแล้วเกิดทำให้แตกตื่นจะแย่เอาน่ะสิ......................
ขณะที่มีความคิดอย่างนั้นติดตรึงอยู่ในหัว หญิงวัยกลางคนก็ยิ้มพลางพูดขึ้น

「ไม่เป็นไร ไม่ต้องใส่ใจหรอก ที่ยังใส่ฮู้ดก็เพราะมีเหตุผลอะไรบางอย่างใช่มั้ยล่ะคะ?
ไปบังคับเขานี่ไม่ดีหรอก」
「ค ค่ะ............」
「ฟุฟุ ฉันอโดเรียน่าค่ะ แล้วชื่อของคุณคือ?」
「อ้ะ ชั้น............เอ๊ยไม่ใช่ ผมชื่อเซอิจิครับ」
「เซอิจิ.........เป็นชื่อที่ดีนะคะ จากที่ฟังดูเป็นคนประเทศตะวันออกเหรอ?」
「เอ๋?」

ประเทศตะวันออก............มันอะไรกันหว่า?
เพราะเอียงคอกับคำศัพท์ที่ถามมาอย่างกะทันหันก็เลยทำเป็นไม่ได้คิดมากอะไร

「ช่างเถอะค่ะ ว่าแต่ คุณเซอิจิเป็นคนพาเดินเล่นสินะ?」
「อะ ครับ!」
「ถ้างั้นก็ฝากมิลค์จังของดิฉันด้วยนะคะ」

หมาชื่อมิลค์เหรอ................. ชื่อน่ารักซะด้วย เป็นหมาตัวเล็กสีขาวล้วนรึเปล่าน้า?
แต่ทำไมถึงไม่เลี้ยงไว้ในบ้านล่ะ? หรือว่ามีพวกศาลาพักส่วนตัวกันแน่นะ?
เอาเถอะเรื่องนั้นจะยังไงก็ได้.............ว่าแต่คุณอโดเรียน่านี่เป็นคนดีจัง
ขนาดใส่ฮู้ดยังบอกว่าไม่เป็นไรเลยรอดตัวไป
ระหว่างที่รู้สึกขอบคุณนิสัยของคุณอโดเรียน่าพลางเดินตามไปด้วย
ไม่นานนักก็มาถึงตรงหน้ากรงอันหนึ่ง

「อา ถึงแล้วล่ะค่ะ」
「เอ๋?」

ถึงแล้ว? แล้วมิลค์จังอยู่ที่ไหนล่ะ?
พอลองมองไปรอบๆดู ในสายตาของชั้นก็ไม่เห็นหมาตัวที่ท่าทางจะเป็นมิลค์จังเลย
ในทางกลับกัน รู้สึกได้เลยว่าที่กรงขนาดใหญ่นั้นมีตัวที่สุดยอดอยู่
ว่าแล้วคุณอโดเรียน่าก็เข้าไปใกล้กรงโดยไม่สนใจชั้นที่กำลังสับสนอยู่

「เอ้า มานี่สิจ้ะมิลค์จัง」
「-----โฮกกกกกกกกกกกก!!」
「.....................」

............แปลกจังน้า..............รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคำรามแบบน่ากลัวสุดๆไปเลย..............
ค คิดไปเองน่า!หูชั้นแว่วไปเองแน่เลย!
ขณะที่มองคุณอโดเรียน่าโดยที่ไม่รู้ทำไมถึงเหงื่อไหลไม่หยุด
คุณอโดเรียน่าก็เปิดกรงออก

「เอ้าออกมาสิจ้ะ มิลค์จัง!」
「..........โฮกกกกกกกกกกกก.............กรรรรรรรรรรรรรร!」

ตัวที่ปล่อยเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวพร้อมออกมาจากรงนั้นคือ----------

「...............OH...............」

-------------หมาใหญ่ยักษ์ขนาด5เมตรที่มีขนทั้งตัวสีขาวล้วน

「เอ่อแบบว่า...........ให้พาเจ้านี่เดินเล่นเหรอครับ?」
「ใช่แล้ว ถูกต้องค่ะ」
「ให้พาเจ้านี่เดินเล่นเหรอครับ?」
「ถูกต้องค่ะ」
「ให้พา-------------」
「เลิกงี่เง่าแล้วมองความจริงสักทีเถอะน่า!」

ชั้นถูกคุณอัลโทเรียเขกหัวให้
ก็แหม มันจะไม่แปลกไปหน่อยเหรอ!? หมาตรงหน้าเนี่ย..........ดูไม่เห็นจะเป็นมิลค์จังตรงไหนเลย!
เป็นหมาจริงๆรึเปล่าก็ไม่รู้!?
ถ้าให้พูดนี่ดูใกล้เคียงกับAsh wolf ที่จัดการไปใน【ป่าแห่งรักอันน่าเศร้าไร้สิ้นสุด】ซะมากกว่า!?

「ทุกคนน่ะตอนแรกที่เห็นเด็กคนนี้ก็กลัวกัน แต่ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอกนะ?
เด็กคนนี้ออกจะเรียบร้อย เพราะงั้นสบายใจได้ ปลอดภัยหายห่วงเลยค่ะ?」
「..........เอ่อแล้วสาเหตุที่คนพาเดินเล่นบาดเจ็บคือ?」
「ถูกมิลค์จังกัดเข้าน่ะค่ะ」
「จะหายห่วงได้ยังงายยยยยยยยยยยยยยยย!」

เรียบร้อยบ้านไหนฟะ!? ตรงไหนที่มันปลอดภัยกัน!? แบบนี้ต้องเจ็บตัวแหง!

「แปลกจังนะคะ..........ตอนเฝ้าบ้านก็ออกจะหายห่วง...........」
「มันก็ต้องหายห่วงอยู่แล้วล่ะครับ!」

มันต่างกับหายห่วงที่ชั้นต้องการไปหน่อยนะ!
แน่อยู่แล้วมีเจ้าตัวนี้อยู่ในสวนโจรที่ไหนก็เผ่นป่าราบทั้งนั้นแหละ!เล่นน่ากลัวซะขนาดนี้!

「เอาเถอะเรื่องปลีกย่อยไม่ต้องไปสนใจหรอก ช่วยพยายามพาไปเดินเล่นด้วยนะคะ!」
「ไม่ไหวไม่ไหวไม่ไหวไม่ไหวไม่ไหว!」

ไม่ไหวชัวร์ๆ!นี่ก็ถูกจ้องแบบกินเลือดกินเนื้อเลยนะ!?โดยมิลค์จังนี่แหละ!
ให้สู้กับพาเดินเล่นนี่มันคนละอย่างกันเลยนะ!? มันต้องเดินไปด้วยกันใช่มั้ยล่ะ!?
ก็จริงอยู่ที่ดูจากสเตตัสแล้วน่าจะไม่เป็นไร............
แต่ถึงร่างกายจะทนได้แต่ด้านจิตใจมันไม่ไหวหรอก!
ว่าแล้วคุณอัลโทเรียก็ตอบกลับไปให้แทนชั้นที่ส่ายหัวอย่างสุดชีวิต

「คงไปพาไปเดินในเมืองไม่ไหวจริงนั่นแหละ งั้นพาไปเดินในสวนพอประมาณแล้วกัน」
「ตกลงรับคำร้องขอเหรอครับ!?」

ดูท่าชั้นจะไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธเลย ...............พวกโฮโมก็ทีแล้ว คิดแทนชั้นกันหมด
ชั้นเองก็เป็นคนนะ!? .............ถึงจะไม่มีอะไรให้ยอมรับได้ก็เถอะ
ทว่าเมื่อชั้นรู้แล้วว่าจะพยายามแต่ไหนก็หนีจากคำร้องขอนี้ไม่ได้
เลยถอนหายใจอย่างแรงแล้วตอบกลับไปแบบเซ็งๆ

「...............เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วล่ะครับ!จะรับไว้ก็ได้!」
「ต้องอย่างนี้สิ」

คุณอัลโทเรียหัวเราะอย่างเบิกบาน
ไม่ใช่หัวเราะเพราะตลกเหมือนที่เห็นตอนบ้านเด็กกำพร้า
พอเห็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์นั้น ชั้นเลยเผลอมองแบบไม่วางสายตา
เพราะรู้สึกตัวถึวสภาพอย่างนั้นมั้งคุณอัลโทเรียเลยกระแอมทีนึงแล้วทำหน้าแดง

「ย ยังไงก็ตามแต่!นี่คือคำร้องขอสายเบ็ดเตล็ดงานสุดท้าย.............พยายามทำให้เต็มที่ล่ะ?」
「ครับ!」

เอาเถอะ แค่ได้เห็นรอยยิ้มนั่นก็เต็มใจรับด้วยความยินดีแล้วล่ะ
คิดแบบนั้นไปพลางเริ่มการเดินเล่นของชั้นกับมิลค์จัง

 
Copyright © 2016. NTDTranslate - All Rights Reserved
Powered by SirZIZ | NTDTranslate