ออร่ารอบตัวโอลบา เริ่มเปลี่ยนไป
พลังเวทบ้าคลั่งซึ่งรับรู้ได้ เริ่มหดตัว, อัดแน่น, และบรรจุอยู่ในร่าง
เส้นเลือดแตกออก, กล้ามเนื้อฉีกขาด, กระดูกหัก แต่ทุกอย่าง ถูกซ่อมแซมทันที
ก้าวข้ามขอบเขตของความเป็นมนุษย์, พลังเวทจำนวนมาก สถิตย์อยู่ภายในกาย
ลัทธิเรียกสิ่งนี้ว่า ‘กระตุ้นตื่น’ 覚醒
เมื่อกลายเป็นเช่นนี้แล้ว, ก็ไม่มีทางกลับเป็นเหมือนเดิม
แต่ว่า…… จะได้รับพลังมหาศาลมาเป็นการทดแทน
“อาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!!!!!”
พร้อมกับเสียงคำรามดั่งสัตว์, ร่างของโอลบาหายไป
เกิดเสียงตันๆ, แล้วร่างของเด็กชายสีดำก็กระเด็น
ก่อนที่จะกระแทกกำแพง, เด็กชายเตะกำแพง เพื่อเปลี่ยนท่วงท่า ลงสู่พื้นดิน
แต่ว่า, ดาบของโอลบายังคงส่งเด็กชายปลิวไปเหมือนเศษผ้า
“ชักช้า! เบาหวิว! เปราะบาง! นี่ล่ะความเป็นจริง, ไอ้เด็กเวร!”
โอลบาโจมตีต่อไป
ทุกครั้งที่เกิดเสียง, เด็กชายตัวปลิวลอย
การฟันของโอลบา ช่างรวดเร็ว หนักหน่วง และไร้ปราณีเป็นยิ่งนัก
ความรุนแรงอย่างเต็มพิกัด
เสมือนเสือฆ่ากระต่าย, ไม่จำเป็นต้องมีลูกเล่น แค่ใช้พลัง ก็เกินพอ
ไม่มีทางต่อต้าน
เด็กชายสีดำ ถูกบดขยี้ข้างเดียว
โอลบาคาดหมายเช่นนั้น
“!?”
เลือดกระฉูดออกจากอกโอลบา, แผลเช่นนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
โอลบาหยุดขยับไปพริบตานึง, แต่ก็ส่งเด็กชายปลิวลอยไปอีก
“เปล่าประโยชน์! เปล่าประโยชน์, ไอ้เด็กน้อย!!!”
แผลของโอลบาควรจะลึกถึงกระดูก แต่เกิดฟองที่แผล และฟื้นฟูสภาพขึ้นทุกวินาที
“นี่ล่ะพลัง!! นี่สิความแข็งแกร่ง!!”
โอลบาเร่งความเร็วขึ้นอีก
เลือดไหลระหว่างเร่งตัวผ่านอากาศ ทำให้เหมือนกับเป็นแสงสีแดง
ดำปะทะแดง
ทั้งสองปะทะกัน – สีดำถูกชนปลิว, ส่วนสีแดงเลือดหลั่งริน
การแลกเปลี่ยนซึ่งไม่อาจมองตาได้ด้วยตาเปล่า
มีเพียงภาพติดตาของสีแดง และสีดำที่ลอยกระเด็นออกทุกครั้ง เป็นตัวบ่งบอกว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่นาน
ความต่างระหว่างทั้งสองมันชัดเจนอยู่แล้ว, ไม่ต้องมีจินตนาการลึกล้ำมาประกอบการคาดเดา ว่าสีดำจะถูกทำลาย
มันควรจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีทางพ่ายแพ้
ฟันดาบซ้ำอีก, ซ้ำอีก แสดงถึงความโดดเด่นเหนือสีดำ
แต่เหตุไฉน
ทำไม…… ทำไมเด็กชายสีดำยังคงยืนหยัดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่ไม่ต่างไปจากเดิม?
“ทำไม…… ทำไมไปไม่ถึง……?”
ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆสำหรับสีดำ, แทบจะไม่มีการใช้เวท ไม่มีการขยับเขยื้อน เพียงแค่ปล่อยให้ร่างกายไหลไปตามกระแสการโจมตีของโอลบา เหมือนดังใบไม้ที่ไหลไปตามกระแสน้ำเชี่ยวกราก
แต่ว่าไม่ใช่แค่การไหลตามน้ำ, มีการใช้แรงผลักดันของโอลบาเพื่อส่งการจู่โจมอย่างแม่นยำกลับมาด้วย
ไม่มีสิ่งเกินความจำเป็น, ไม่ต้องเลิศหรู เพียงแค่เป็นธรรมชาติ, ปล่อยให้เป็นไปตามครรลอง
“ช่างน่าชังนัก”
สีดำเอ่ยขึ้น, ดวงตาซึ่งมองทะลุปรุโปร่งทุกอย่าง กำลังจ้องมองโอลบา
“แกจะรู้อะไร…… อย่างแกน่ะ?!?!?!”
โอลบากรีดร้อง
ทั้งดาบ ทั้งร่างกาย, ทุกสิ่ง ถูกทุ่มเทไปให้กับการทุบทำลายและคำรามโหยหวน
แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ก็จะลบสีดำให้ได้
การจู่โจมครั้งนี้ล่ะ เป็นสุดยอดของสุดยอดแห่งชั่วชีวิตโอลบา
ทว่า
“หมดเวลาเล่นแล้ว”
ถูกแยกส่วนอย่างง่ายดาย
เหมือนสะบัดผ่านความว่างเปล่า, ดาบสีดำผ่านเส้นทางโดยไร้แรงต้าน
ดาบโอลบา, พลังเวทอันมากมาย, ร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างดี, ทุกสิ่งอย่าง ถูกผ่าครึ่งในการฟันครั้งเดียว
ดาบสีดำสนิทซึ่งไร้เวทมนต์, ไม่มีแรง ไม่มีความเร็ว มีแต่ฝีมือล้วนๆ, โอลบาเคยคิดเช่นนั้น
แต่มิใช่เลย
“อะไร…… กัน……”
เป็นการฟันซึ่งสามารถตัดขาดได้ทุกสิ่งอย่าง
หั่นผ่านดาบ ผ่านเวท ผ่านเนื้อหนัง ผ่านกระดูก, โอลบาจึงรู้ตัวขึ้นมา
การฟันซึ่งมีพลังเวทอัดแน่น, มีแรงมหาศาล, มีความเร็วมายมาย เหนือสิ่งอื่นใด…… มีฝีมือ
นี่ล่ะ, คือสภาวะสมบูรณ์แบบของแท้
ดูเหมือนสีดำจะมีทุกปัจจัยอยู่พร้อมสรรพแต่แรกแล้ว
เพียงแต่ยังไม่ได้ใช้ออกมา
ไม่มีสิ่งใดที่การฟาดฟันนั้นไม่อาจผ่าได้
“ขนาดนี้…… เชียว…… รึ……”
เลือดกระฉูดกลางอากาศ
ท่อนบนร่างกายตกลง ส่วนท่อนล่างสลายไป
แม้จะถูกผ่าครึ่ง แต่ร่างของโอลบายังคงพยายามฟื้นตัว, แต่มันเกินกว่าขีดจำกัดไปแล้ว
ร่างกายเริ่มเน่าเปื่อย ย้อมผืนดินให้เป็นสีดำ
โอลบามองขึ้นหาศัตรู
ได้ปะทะดาบกัน โอลบาจึงเข้าใจสีดำแล้ว
ดาบของสีดำ เป็นดาบแห่งความซื่อตรง ดาบแห่งสามัญชน ดาบซึ่งเปี่ยมไปด้วยความพยายามที่มาจากหยาดเหงื่อและหยดเลือด
เคยนึกว่าเป็นแค่เด็กเปรตที่ไม่รู้ความอะไร แต่ผิดไปแล้ว เด็กนี่รู้ทุกอย่าง แต่ยังเลือกที่จะต่อสู้ แม้จะรู้ดีว่าเป็นการต้านทานกระแสแห่งความเป็นไปได้
ไร้พลัง
ชีวิตของโอลบาช่างไร้พลัง ตั้งแต่เริ่มจนจบ
สิ่งที่พยายามจะทำ, สิ่งที่ไม่อาจทำได้
“…มิ…เรีย……..”
โอลบาขยับมือหาดาบสั้นประดับอัญมณี....ดวงตาปิดลง
สิ่งสุดท้ายที่แวบเข้ามา คือรอยยิ้มของลูกสาวที่รักซึ่งเสียไปแล้ว
◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇
สรุปแล้วนี่ก็คือเรื่องราวการกำจัดโจรและไปช่วยพี่สาวของเรา
พอเราเจอพี่สาว ก็พบว่าหมดสติอยู่ เลยปลดจากพันธนาการแล้วปล่อยไว้ยังงั้น
วันต่อมา พี่สาวก็กลับมาที่บ้าน พร้อมกับความคึกคัก
คนๆนี้ชักจะถึกเกินไปแล้ว, อาการบาดเจ็บที่มือ แค่คืนเดียวก็เกือบหายดี
หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์เพื่อพักฟื้นหรือเพื่อสืบหาอะไรก็ตาม กว่าพี่สาวจะออกเดินทางไปเมืองหลวง, ซึ่งก็ไม่รู้ทำไม ช่วงสัปดาห์นึงนี้ พี่สาวถึงมาวุ่นวายจุกจิกกับผมนักหนา
อัลฟ่ากับพวก ตอนนี้ยุ่งกับการสืบข่าวกลุ่มโจรและเก็บกวาดพวกที่เหลืออยู่, อ่ะ โทษที ไม่ใช่โจรสินะ ต้องเรียกว่าลัทธิ, แต่โจรจะมีชื่อว่าอะไร สุดท้ายก็ยังเป็นโจรอยู่ดีนั่นล่ะ
แต่แหม, ตาลุงตาแดงนั่น มีพรสวรรค์ใช้ได้นะ, ต้องยกความดีให้ส่วนนึงเลย เพราะทำให้ผมได้ออกประโยคเด็ดแบบ “เช่นนั้นเราจักดำดิ่ง ไม่ว่าจะลึกเพียงใด” ด้วย, น่าเสียดาย ที่พี่แกตายไปแล้ว ไม่งั้นผมอาจจ้างไว้เป็นตัวช่วยประกอบฉากก็ได้
แถมการสวมบทเล่นเป็นพลังในเงามืดของผม กับการแสดงสดเองก็สุดจะเท่!
น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ชม, แต่ผมต้องทนอีกแค่ 2 ปีเท่านั้น, อีก 2 ปี ผมเองก็จะได้ไปเมืองหลวงแล้ว
เมืองหลวงเชียวนะ! หนึ่งในมหานครของโลกนี้, เมืองเดียวของประเทศนี้ที่มีประชากรเกินกว่าล้าน
พนันได้เลยว่าต้องมีตัวละครแบบตัวเอกหรือบอสใหญ่อยู่แน่ๆ
แล้วก็มีเหตุการณ์ต่างๆมากมาย, มีการสมรู้ร่วมคิด, มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนแบบที่บ้านนอกอย่างเราไม่เคยมีมาก่อน …… ดังนั้นจะเป็นโอกาสแสดงตัวเยี่ยงพลังในเงามืดของผม
อาาา, เทียบกับแล้ว ผมในตอนนี้ที่แค่ออกปราบโจร ก็เหมือนกบในกะลา, แต่เรื่องราวของผมนั้น เพิ่งจะเริ่มหรอก
ขณะที่ผมเสริมสร้างความแข็งแกร่งต่อไปเพื่อเตรียมตัวสำหรับอีก 2 ปีข้างหน้า, อัลฟ่ากับผองพวกทั้ง 6 ก็ร้องขอจะพบปะกับผมโดยตรง
ดูเหมือนจะมา ‘รายงาน’ ผลการ ‘สืบข่าวเรื่องลัทธิ’ กับผลการ ‘ค้นคว้าเรื่องคำสาป’, ช่วงหลังมานี้ เห็นว่าแต่ละคนต่างยุ่งกัน เลยหายากที่ทั้ง 7 จะมารวมตัวอย่างพร้อมเพรียง
จริงๆก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะ ‘สืบข่าว’ หรือ ‘ค้นคว้า’ หรอก เพราะงั้นเพลาๆมือ เอาแค่พอเหมาะกันก็ได้นะพวกเธอ, ผมคิดงั้นพลางฟัง ‘รายงาน’
สรุปสั้นๆ
เหล่าวีรชนที่สู้กับเดียโบลอส ทั้งหมดเป็นผู้หญิง เพราะงั้นอาการคำสาปเดียโบลอสจึงเกิดขึ้นกับผู้หญิงเท่านั้น
เป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ดีแท้! แต่ว่าเสียใจด้วย, ความเข้าใจสามัญของเหล่าปุถุชน คือต่างเห็นพ้องกันว่าวีรชนเป็นผู้ชาย
อ่ะ, เพราะว่าอุทยานเงามีแต่สมาชิกผู้หญิง (ยกเว้นผม) ก็เลยเอาตรงนี้มาปั้นเป็นเรื่องงั้นเหรอ?
ต่อไป, พวกที่เกิดอาการคำสาปมากที่สุดคือเอลฟ์, รองลงมาเป็นมนุษย์สัตว์, สุดท้ายก็มนุษย์
อันนี้มันเกี่ยวข้องกับอายุขัยของเผ่าพันธุ์ด้วยล่ะ, อย่างมนุษย์เนี่ย มีอายุขัยสั้นสุด ดังนั้นสายเลือดที่สืบจากวีรชนจึงมีเจือจางที่สุด ทำให้ยากจะเกิดอาการคำสาป, ส่วนเอลฟ์จะกลับกัน คือมีอายุขัยเยอะ เลยตรงกันข้าม, ส่วนมนุษย์สัตว์ก็อยู่กึ่งกลาง
พูดถึงนะ, ผมก็เป็นมนุษย์คนเดียวในกลุ่มอุทยานเงาจริงๆ แถมไม่ได้มีอาการปีศาจสิงสู่ด้วย, ส่วนสาวๆทั้ง 7, มีเป็นมนุษย์สัตว์อยู่ 2 ที่เหลืออีก 5 เป็นเอลฟ์ และทั้งหมดเคยถูกปีศาจสิงสู่
โอโห, ทำได้ดีจริงๆฟ่ะ สร้างเรื่องมาได้ถึงขนาดนี้
อัลฟ่ากับสาวๆเองยัง ‘รายงาน’ เรื่องอื่นๆอีก, แต่ผมก็ฟังหูนึง ทะลุไปอีกหูนึง
ทีนี้ มาเข้าสู่ ‘รายงาน’ เรื่องลัทธิ
ดูเหมือนว่าลัทธิ จะกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่หยั่งรากฝังลึกไปทั่วโลกเสียแล้ว, ดีมากลูก ชอบจัง ที่คิดเนื้อเรื่องให้ใหญ่โตเข้าไว้
ลัทธิเรียกผู้ที่มีอาการปีศาจสิงสู่ (หรือจะเรียกว่าคำสาปก็เอาเถอะ) ว่ามีความ ‘เข้ากันได้’ 適応者 และเน้นจับกุมคนพวกนี้ไป
เพื่อที่จะเสริมสร้างพลังต่อต้านลัทธิ, สมาชิกอุทยานเงาเองก็จะกระจายตัวไปทั่วโลกด้วย เหลือไว้แค่ 1 คนใกล้ๆผมโดยหมุนเวียนกันไป, ส่วนที่เหลือจะเน้นช่วยเหลือและสงเคราะห์กำบังผู้ที่ถูกปีศาจสิงสู่ กับขุดคุ้ยเรื่องลัทธิ หรือรบกวนขัดขวางงานของมันเมื่อมีโอกาส
ฟังยังงี้ ผมก็เข้าใจขึ้นมา, รู้ตัวกันแล้วสินะ ว่าลัทธิเดียโบลอสนี่ไม่มีอยู่จริง เพราะงั้นเลยพยายามบอกอ้อมๆว่าไม่อยากเล่นด้วยแล้ว อยากเป็นอิสระ นี่คือความหมายของการ ‘กระจายตัวไปทั่วโลก’ ใช่มั้ย? แต่เพราะว่าผมเป็นคนรักษาจากอาการปีศาจสิงสู่ อีกใจก็อยากตอบแทน เลยประนีประนอมกัน ขอผลัดกันเข้าเวรเพื่อติดตามผม, อันนี้คือข้อความลับที่ต้องการจะให้ผมทราบ
รู้สึกเศร้าใจนิดๆแฮะ, แม้แต่ในชีวิตก่อน ทุกคนในวัยเด็กต่างก็พิสมัยในฮีโร่ ซึ่งผมเองก็ชื่นชอบพลังในเงามืดเช่นเดียวกัน, แต่ทุกคนต่างเติบโตขึ้น พอรู้ตัวอีกที ทุกคนต่างลืมเรื่องฮีโร่ไปหมดแล้ว จนเหลือแต่ผมคนเดียว, สาวๆพวกนี้เองก็โตขึ้นเช่นกัน เรื่องก็มีแค่นี้ล่ะ
แม้จะรู้สึกอ่อนไหว, แต่ผมก็ยินยอมให้ไป, แต่ไหนแต่ไร ผมไม่ได้กะจะรวบรวมคนมาเยอะแยะอยู่แล้ว มีแค่ผมกับผู้ช่วยคนนึงก็พอ
ก่อนจากกัน ผมยืนส่งเด็กสาวที่ต่างน้ำตาคลอกับการจากลา , ผมจึงสาบานกับตัวเองว่าจะต้องเป็นพลังในเงามืดให้ได้ แม้ว่าจะเหลือตัวเองเพียงคนเดียวในโลกนี้ก็ตาม