สีดำคลุมหัวจรดเท้า, ฮู้ดดึงขึ้นปิดหัว หน้าถูกซ่อนภายใต้หน้ากากนักมายากล
ชายผู้เดินมาอย่างมาดนิ่ง, จนมาหยุดที่หนึ่งก้าวก่อนระยะโจมตีของเซนอน
“พวกแต่งชุดดำ…… แกคือพวกหมาเร่ร่อนที่แยกเขี้ยวใส่ลัทธิในช่วงหลังมานี้รึ”
ด้วยสายตาแหลมคม, เซนอนมองชายผู้นี้
“เราคือเงาทมิฬ…… ผู้อยู่เบื้องหลังเงา และไล่ล่าเงา……”
เสียงทุ้มลึกและต่ำเสียจนเหมือนมาจากก้นบึ้งแห่งนรก
“งั้นรึ, พังรังเล็กๆไปมากจนย่ามใจแล้วนะ, จะบอกให้ ว่ารังที่พวกแกพังไป ไม่ได้มีคนสำคัญของลัทธิอยู่เลย, หรือก็คือ พวกแกก็แค่พวกขี้ขลาดที่เล็งเป้าเก็บแต่พวกสวะ”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง, ชายที่เรียกตนว่าเงาทมิฬ เป็นศัตรูกับเซนอน
นี่คือข่าวดีของอเล็คเชีย, แต่เธอก็มองไม่ออกเลยว่าชายผู้นี้เป็นมิตรกับเธอหรือไม่
“ล่าที่ไหน ล่าผู้ใด ก็ล้วนไม่ต่างกัน”
“น่าเสียดาย ที่ต่างกันเป็นอย่างมากเลย, กำลังหลักของลัทธิอยู่ที่นี่ วันนี้แกมีชะตาเป็นผู้ถูกล่าแทนแล้ว”
เซนอนหันดาบหาเงาทมิฬ
“ฉันคือเซนอน กลีฟี, ผู้ที่จะเป็นอัศวินโต๊ะกลมอันดับ 12, การเอาชีวิตแกจะเป็นผลงานของฉัน!”
แล้วเซนอนก็เป็นดั่งพายุพุ่งเข้าหาเงาทมิฬ
ทว่า
ร่างของเงาทมิฬหายไป, ทำให้การแทงของเซนอน ผ่านอากาศเปล่าๆ
“หะ……?!”
พริบตาเดียว, เงาทมิฬมายืนอยู่หลังเซนอน
ชั่วแวบเดียว, ก็โดนเข้าถึงแผ่นหลังเสียแล้ว
ขยับไม่ได้
เหมือนกับลืมกระแสแห่งเวลา, ดาบเซนอนนิ่งเฉย, แม้แต่ลมหายใจก็หยุดลง, ละความสนใจทุกสิ่ง ไปสนแต่ด้านหลัง
ไม่มีใครขยับ
ใช่แล้ว, เงาทมิฬแค่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังเซนอน โดยที่ไม่ทำอะไร
เป็นบทนำสู่คำถาม
“กำลังหลักที่ว่าเนี่ย…… อยู่ไหนรึ?”
หน้าเซนอนบิดเบี้ยวจากความอับอาย, และหันกลับไปเพื่อฟาดโจมตีอย่างแรง
แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว
“บ้าน่า……?!”
เสียงฝุบของเสื้อคลุม ทำให้เซนอนต้องหันหัวกลับ
เงาทมิฬกลับมายืนที่ตำแหน่งเริ่มต้น, เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สำหรับคนที่ดูจากข้างนอกวงอย่างอเล็คเชีย ก็ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น, แต่หากนี่ไม่ใช่ทริคหรือลูกเล่นอะไร ก็แสดงว่าชายผู้นี้ มีความสามารถสุดจะหยั่งถึง…… ไม่สิ, ต้องเรียกว่าหามาตรฐานมาเปรียบเทียบมิได้
เซนอนสะกดหัวใจที่หวั่นสะพรึงของตน และหันหน้าอย่างช้าๆ
“ท่าทางจะดูถูกแกไปหน่อย, ถึงจะเล็กน้อย แต่แกก็มีพลังพอทำลายรังลับเราได้หลายที่จริงๆ”
คราวนี้, เซนอนระมัดระวัง และเสริมตนด้วยเวท ก่อนเผชิญหน้ากับเงาทมิฬ
พลังเวทรอบตัว ทำให้อากาศสั่นไหว, มากเสียยิ่งกว่าตอนโจมตีเพื่อทำลายดาบอเล็คเชียหลายต่อหลายเท่า
เงาทมิฬเป็นศัตรูที่กล้าแกร่ง
ทว่า, เซนอนเองก็ใช่ย่อย, เขาคือผู้ที่เปี่ยมด้วยความโดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก ชนะการแข่งขันมามากมาย, จนไต่เต้ามาเป็นครูสอนดาบของประเทศ และในประเทศนี้ ไม่มีนักดาบที่ไหน ไม่รู้จักนามเซนอน กลีฟี
“ฉันจะแสดงให้ดู ถึงพลังของผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นอัศวินโต๊ะกลม”
ว่องไวยิ่งนัก……!
ตาของอเล็คเชียแทบมองตามดาบเซนอนไม่ทัน
ดาบสีขาววาดผ่านอากาศ, บินเข้าหาคอของเงาทมิฬ
ทว่า
“ดาบทื่อๆ……”
ด้วยดาบสีดำสนิทที่ชักออกมาจากไหนไม่รู้ ก็สามารถรับการจู่โจมจากเซนอนได้โดยง่ายดาย
“คุ……!”
เซนอนพยายามกดดาบเพื่อแข่งกันด้วยพลัง
แต่เงาทมิฬแค่ผ่อนแรงจากดาบ และใช้แรงดันจากเซนอนเป็นตัวผลักออกไป
“ฟุ……!”
ก่อนที่ตัวจะชนกำแพง เซนอนเอาตัวลงตบพื้น และฟื้นขึ้นมาตั้งท่า
แต่ความแปรปรวนทางจิต แสดงออกบนสีหน้าแล้ว
ไม่มีใครขยับ
แต่ว่า สำหรับเงาทมิฬ, คือเลือกที่จะไม่ขยับ
ส่วนเซนอน, คือขยับไม่ได้
เพราะตกอยู่ภายใต้ภาพลวงตา ว่าทุกการเคลื่อนไหว ถูกผนึกอย่างหมดสิ้น
“ไม่เข้ามารึ, ว่าที่โต๊ะกลม?”
“ชิ…..!”
เซนอนหน้าแดงโมโห, โกรธศัตรู แต่ที่ยิ่งกว่านั้น โกรธตัวเอง
“อย่ามาดูถูกกันนะ!!!!!”
พร้อมกับการตะโกน, เซนอนสะบัดดาบ
การแทงด้วยความไวดั่งพายุ
การฟันอย่างต่อเนื่องเหมือนเพลิงพิโรธ
แต่
ไม่มีการโจมตีใดถูกเป้า
“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาา!!”
เสียงกู่ร้องต่อสู้ดังทั่วห้อง
เหมือนกับช่วงฝึกดาบระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่
อเล็คเชียดูการต่อสู้อย่างตกใจ
เซนอนเคยอยู่ในสภาพน่าสมเพชแบบนี้ด้วยรึ? ท่าทางเยือกเย็นและรอยยิ้มที่เป็นหน้ากากจอมปลอมถูกฉีกออกจนหมด, ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่อเล็คเชียรู้จัก ก็คือพี่สาว กระนั้นเอง แม้แต่พี่สาว ก็ยังมิอาจรับมือกับเซนอนได้โดยง่ายเช่นนี้
แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง
เสียงดาบเบาๆเหมือนหลงมาจากที่อื่น
เป็นเสียงตีเล่นเหมือนช่วงเวลาฝึกดาบ
ดาบสีดำกับขาว วาดโค้งผ่านอากาศ
อเล็คเชียถูกการต่อสู้สะกดใจโดยไม่รู้ตัว
เธอหลงลึกเข้าไปในดาบสีดำ ไม่อาจละสายตาได้
ทำไมน่ะรึ? ก็เพราะว่า……
“ดาบสามัญชน……”
ภาพของสิ่งที่อยู่เลยไปจากดาบของอเล็คเชีย
สภาพสมบูรณ์ของอุดมคติแห่งดาบที่อเล็คเชียใช้เวลามากมายครุ่นคิด, ดาบสำหรับผู้ปราศจากพรสวรรค์ ปราศจากพลัง ปราศจากความเร็ว – ดาบที่ไปถึงได้ด้วยผลแห่งความพยายามอย่างถ่องแท้
แต่ดาบของเธอที่เทียบกับพี่สาว และถูกตราว่าเป็น ‘ดาบสามัญชน’ ทำให้อเล็คเชียหลงทาง
กระนั้นเอง เธอก็ไม่อาจยอมแพ้ได้
‘ดาบสามัญชน’ แบบนี้ กำลังกดดันอัจฉริยะเช่นเซนอน กลีฟีอยู่
“สุดยอด……”
อเล็คเชียชอบดาบนี้
การดูดาบของผู้อื่น, ทำให้เห็นเส้นทางที่ผ่านมา
ดาบแห่งความซื่อตรงและจริงใจ, ดาบซึ่งสร้างสมขึ้นทีละนิด
พี่สาวเองก็มีความเห็นเช่นนี้เหมือนกันรึ?
“ท่านพี่……”
ตอนนี้, เธอรู้สึกเหมือนเข้าใจคำพูดเมื่อวันนั้นของพี่สาวแล้ว
“อึก…… บ-, บัดซบ……!”
ร่างเซนอนปลิวลอยกลางอากาศ และล้มกระแทก, เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้
เซนอนจ้องเงาทมิฬพลางหอบหายใจ
ความเกรี้ยวกราดในดวงตา แสดงชัดว่ารับความจริงไม่ได้
“อ-, ไอ้เวรนี่, แกเป็นใคร……! มีพลังขนาดนี้ ทำไมถึงซุกซ่อนตัวเองเช่นนี้!”
ด้วยพลังเยี่ยงเงาทมิฬ, ความร่ำรวยและชื่อเสียงอยู่ใกล้แค่เอื้อม, เพียงแสดงพลังออกมา เพื่อให้โลกรู้และหวาดกลัว
แต่ไม่เคยมีใครได้ยินดาบของเงาทมิฬมาก่อน, ถึงแม้จะปิดบังหน้าตา แต่ใครที่เห็นดาบเช่นนี้เพียงครั้งเดียว ก็คงมิอาจลืมเลือนได้
ทว่า นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ทั้งเซนอน และอเล็คเชีย ได้เรียนรู้ถึงตัวตนของผู้มีพลังดาบเช่นนี้
“เราคืออุทยานเงา…… ผู้อยู่เบื้องหลังเงา และไล่ล่าเงา, นี่คือเหตุผลเดียวแห่งการดำรงอยู่ของเรา……”
“สติดีอยู่รึเปล่าวะ?!”
สายตาเซนอนและเงาทมิฬปะทะกัน
อเล็คเชียเป็นได้แค่คนดู ในตอนนี้
ทำไมทั้งสองถึงสู้กัน? เธอไม่เข้าใจเหตุผลหรือเป้าหมายอะไรเลย
เลือด ปีศาจ ลัทธิ
ได้ยินคำสำคัญมาหลายคำ
แต่เชื่อมต่อเป็นภาพไม่ได้เลย, บางที อาจเป็นแค่เรื่องเพ้อเจ้อของพวกบ้า
แต่, ถ้าหาก
หากว่าไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ
ถ้าหาก, ภายใต้เงาของโลกนี้ มีความชั่วร้ายอย่างมหึมาซึ่งเกินกว่าความรู้ของอเล็คเชียกำลังเกิดขึ้น
“ก็ได้-, หากว่าแกเอาจริง ฉันก็จะตอบอย่างจริงจัง”
ว่าแล้ว เซนอนเอายาเม็ดสีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“ยานี้สามารถเปลี่ยนคนให้ก้าวข้ามขอบเขตความเป็นมนุษย์ได้ เราเรียกว่าการ 'กระตุ้นตื่น', แม้คนธรรมดาจะไม่อาจควบคุมพลังเช่นนี้ได้ จนนำไปสู่ความตาย, แต่สำหรับอัศวินโต๊ะกลมย่อมแตกต่างออกไป มีเพียงผู้ที่ควบคุมพลังอันมากมายนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ที่จะมีสิทธิเป็นอัศวินโต๊ะกลม”
เซนอนกลืนยาเม็ดเข้าไป
และ
“กระตุ้นตื่น, ขั้น 3” 覚醒者3rd
พลังเวทกลายเป็นพายุคลั่ง
อาการบาดเจ็บทั้งหมดของเซนอน หายเป็นปลิดทิ้ง
กล้ามเนื้อแน่นขึ้น, ดวงตาคั่งเลือด, เส้นเลือดโป่งพอง
พลังมากมายสำหรับขยี้ทุกอย่างที่ขวางหน้า
“จงดูพลังสุดแกร่งนี่ซะ”
เซนอนว่าด้วยรอยยิ้มมั่นใจบนหน้า
ไม่ต้องสงสัย, เซนอนตอนนี้ แข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าหญิงไอริส
ต่อหน้าพลังขนาดนี้, อเล็คเชียคงตัวหดกลมอยู่ใต้ความสิ้นหวัง ถ้าหากว่าไม่รู้จักดาบของเงาทมิฬมาก่อน
แต่สำหรับอเล็คเชียตอนนี้, สภาพของเซนอน ห่างจากคำว่า ‘สุดแกร่ง’ ไปไกล
หรือจะว่า……
“น่าเกลียด……”
“น่าเกลียดชะมัด……”
เสียงอเล็คเชียกับเงาทมิฬสอดทับกัน
ดาบซึ่งทั้งคู่แสวงหา เป็นดาบแบบเดียวกัน, ดังนั้น จึงมีความเห็นตรงกัน
“น่าเกลียด, งั้นเรอะ……?”
เซนอนถาม, รอยยิ้มหายไปจากหน้า
“แค่นั้นอย่าอ้างว่าเป็นสุดแกร่งเลย, เป็นการหยามสุดแกร่งเกินไปแล้ว”
“แก!”
“ผู้พึ่งพาพลังที่หยิบยืมมา ย่อมไม่มีหนทางสู่ฉายานั้นหรอก”
เป็นครั้งแรกของวัน ที่พลังเวทเงาทมิฬมารวมกัน, ที่ผ่านมาจนบัดนี้ เป็นเพียงการใช้พลังเวทเล็กน้อยเท่านั้น
พลังเวทเงาทมิฬ ก่อตัวอย่างแน่นขนัดเสียจนแทบไม่อาจรู้สึกได้
แต่ว่า, นี่คืออะไรกัน
พลังเวทควบรวม กลายเป็นเส้นสีม่วง
เส้นที่บาง, บางยิ่งนัก, เหมือนสายฟ้า, เหมือนเส้นเลือดฝอย, ล้อมรอบเงาทมิฬ เหมือนโทนหลังภาพวาด
“สวยงาม……”
อเล็คเชียทึ่งไปกับสิ่งที่เห็น, ไม่ใช่แค่ความสวยงามของแสง แต่ความหนาแน่นของเวทที่ขัดเกลาอย่างดี ทำให้ทึ่งจนถึงขั้นโหยหา
“นี่มัน, อะไร……”
เซนอนตกใจอีก และไม่เคยเห็นเวทสภาพเช่นนี้มาก่อน
“พลังที่แท้จริงคือเช่นไร…… จงดูด้วยตาเอาเองเถอะ”
พลังเวทรวมกันที่ดาบสีดำ
กำเนิดวงเกลียวซึ่งดูดพลังเวทเข้าไปอีก
เสมือนดั่งทุกสิ่งในโลกจะถูกดูดเข้าไปในวงเกลียวนั้น
พลังอันน่ากลัวหลับไหลอยู่ในดาบ
“นี่คือสุดแกร่งของเรา”
ดาบเงาทมิฬยกขึ้นตั้งท่า
ท่วงท่าการแทง
ท่าที่เป็นไปเพื่อการแทงเท่านั้น
“ย-, อย่า……”
เสียงสั่นเช่นนี้ มาจากหนใดกัน?
ผืนดินสะเทือน?
ท้องฟ้าสะท้าน?
เซนอนสั่นกลัว?
ไม่หรอก…… มาจากทุกอย่าง
ทุกอย่างกำลังสั่นไหว
อเล็คเชียเองก็รู้ตัว ว่าเธอกำลังสั่นอยู่
แต่ไม่ใช่ความกลัว, มาจากความสุข
นี่คือจุดหมายปลายทางของเธอ
นี่คือ…… ดาบของสุดแกร่ง
“ดูซะ……”
ดาบดำสนิทถูกหน่วงเหนี่ยว……
“ศาสตร์ลับ: เรา คือ แตโปดอง” 奥義アイ・アム・テポドン (I am Taepodong)
…… และปล่อยออก
เสียงหายไป
คลื่นแสงกลืนกินเซนอน, และผ่านอเล็คเชียไป
ทะลุผ่านกำแพง, ผ่านดิน, ผ่านทุกสิ่งที่ขวางหน้า, แทง ทะลุ กลืนกิน, และคำรามบนฟ้า
จากนั้นก็ระเบิดออก……
ลำแสงที่ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเจิดจรัส, เป็นแสงสีม่วงสว่างจ้าทั่วเมืองหลวง
จากที่ห่างไกล, ไกลออกไป…… ลมกรรโชกรุนแรงมาถึงเมืองหลวง ปัดเป่าเมฆฝนกระจายออกสิ้น, บ้านเรือนเขย่าทุกหลัง ผืนดินเคลื่อนไหว
จนผ่านพ้นไป, สิ่งที่เหลือ มีเพียงท้องฟ้าเปี่ยมดาว และจันทร์เต็มดวง
เซนอนกลายเป็นจุล, ไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นผง
หลุมเปิดกำแพงสูงขึ้นไปเหนือพื้นดิน
และ…… ด้วยการสะบัดผ้าคลุม, เงาทมิฬก็หายไปในความมืด
◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇
เมื่อก่อน, มีผู้หาญกล้าท้าทายแตโปดอง
ชายผู้นั้นฝึกร่างกาย ฝึกจิตใจ และฝึกเทคนิค
แต่แตโปดองอยู่ห่างไกลเกินไป และสูงเกินจะเอื้อมถึง
แต่เขายังไม่ยอมแพ้
หลังสิ้นสุดการฝึกอย่างบ้าคลั่ง เขาบรรลุถึงคำตอบ
ปุจฉา: ทำยังไงถึงจะไม่เป็นจุลเพราะแตโปดอง?
วิสัชนา: ก็เป็นแตโปดองซะสิ
จึงนำมาสู่ศาสตร์ลับ: ‘เรา คือ แตโปดอง’
◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇
นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เธอยืนอึ้งอยู่
จู่ๆ, อเล็คเชียก็รู้ตัวว่าถูกคนเรียกชื่อ
“อเล็คเชีย……! อเล็คเชีย……!”
จากที่ห่างๆ, มีเสียงเรียกอย่างไม่พักหายใจ
อเล็คเชียรู้จักเสียงนี้
“ท่านพี่…… ท่านพี่ไอริส!!”
หลังจากตะโกน, เธอก็เริ่มวิ่ง
ผ่านอุโมงค์ใหญ่, ไปสู่อีกฟาก
“อเล็คเชีย, อเล็คเชีย!”
ไอริสวิ่งมา
“ท่านพี่คะ, ฉัน……!”
ก่อนอเล็คเชียจะได้พูดอะไร, เธอถูกกอด
ร่างไอริสเปียกโชกเย็นยะเยือก, แต่กลับอบอุ่นยิ่งนัก
“ดีที่ปลอดภัย…… ดีจริงๆ”
การกอดรัดแรงมากขึ้น
อเล็คเชียเอามือแตะหลังของไอริสอย่างลังเล
“ขอโทษ คงหนาวสินะ”
อเล็คเชียสั่นหัว, เอาหน้าซุกอกไอริสทั้งยังงี้
น้ำตาไหลรินไม่หยุด