ผ่านจากตอนนั้นมาสองอาทิตย์, ผมยังทนกับการเป็นแฟนของอเล็คเชียต่อไปได้
บางครั้ง ต้องถูกนักเรียนอื่นกลั่นแกล้ง, แต่ก็ยังอยู่ในระดับอดทนไหว
เหนือสิ่งอื่นใด, ครูเซนอนไม่ได้มาอัดผม หรือมีมาตรการอันใดเพื่อ ‘แก้’ ปัญหาโดยตรงด้วยความรุนแรง, เลยน่าโล่งอก
ซึ่งเจ้าตัวเอง แม้จะให้คำแนะนำแก่อเล็คเชียกับผมอย่างเหมาะสมในชั้นเรียน แต่นอกเวลาก็ไม่ได้มาเจาะแจะคุยด้วย, เป็นผู้ใหญ่ที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออก
เทียบกันแล้ว
“หมอนั่นมันน่ารำคาญจริงๆ, แค่เก่งนิดหน่อยทำเป็นเต๊ะ”
ต่อหน้าผู้คน เธอจะทำตัวเชิดๆ, แต่พออยู่ตามลำพัง ยัยนี่จะปากเสียได้อีก
“คับ คับ”
ผมตอบแบบแทบจะเป็นหุ่นยนต์, ช่วงนี้ได้เรียนรู้แล้วว่าการโต้แย้งมีแต่จะทำให้เสียเวลา
“โปจิเองก็เห็นรอยยิ้มมีเลศนัยนั่นใช่มั้ย?”
“คับ คับ”
การเดินจากโรงเรียนกลับหอ ด้วยเส้นทางยาวๆผ่านป่าซึ่งคนไม่ค่อยได้ใช้ กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวัน
ช่วงเวลาเช่นนี้, ผมก็แค่เห็นด้วยกับทุกสิ่งที่อเล็คเชียพูด, แม้ว่าคำพูดจะเข้าหัวไม่ถึง 10% ก็เถอะ
เราเดินช้าๆกันต่อไปจนตะวันตก, แม้ว่าปกติจะเดินไปถึงอีกฟากได้ใน 10 นาที แต่ว่าเราใช้เวลากว่า 30 นาที จนบางวัน ถึงกับเห็นดาวเลยเมื่อถึงที่หมาย
อดทนเข้าไว้, ซักวัน ผมอยากตะคอกกลับไล่คุณเธอไปคุยกับกำแพงซะจริงๆ, แต่อดทน ต้องทนให้ไหว
อดทน อดทน อดทน
ถึงยังงั้นเอง ก็มีสิ่งหนึ่งที่จำต้องพูด
“อ่า, ขอถามอะไรอย่างได้มะ?”
“ว่าไง โปจิ?”
อเล็คเชียนั่งไขว้ขาบนตอไม้ที่ประจำ
แล้วเอ็งจะนั่งลงทำไมว้า, ลุกขึ้นเดินต่อเด้ – อยากจะว่างั้น แต่ผมไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งลงข้างๆ
“ทำไมถึงเกลียดครูเซนอนขนาดนั้นล่ะ? ในฐานะคู่แต่งงาน ก็ดูไม่เลวไม่ใช่เหรอ”
“นี่…… นายได้ฟังที่ฉันพูดมั่งปะเนี่ย?”
อเล็คเชียดูไม่พอใจ
“เกลียดทุกอย่าง, เข้าใจเปล่า? เกลียดตัวตนของหมอนั่น เกลียดทุกสิ่งที่เป็นเลย”
“ครูก็ออกจะหล่อ, เป็นครูสอนดาบของประเทศ, มีสถานะทางสังคมสูง, เงินก็มี, แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออก, ทุกอย่างก็ดูเข้าท่านี่ แถมได้ยินมาว่าออกจะเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนหญิงด้วยนะ”
คำของผม โดนหัวเราะเยาะ
“นั่นก็แค่ภายนอก, ท่าทางภายนอกสามารถปั้นแต่งยังไงก็ได้ตามที่ต้องการ, แบบฉันไง”
“เป็นตัวอย่างที่น่าเชื่อถือสุดๆเลย”
พูดถึงนะ, อเล็คเชียเองก็เป็นที่นิยมมาก เพราะเธอแสดงเก่งซะจนบางครั้งผมอยากอ้วกเมื่อเห็นเลย
“เพราะงั้น ฉันถึงไม่ดูคนจากภายนอก”
“แล้วประเมินคนยังไงล่ะ?”
“จากข้อด้อย”
อเล็คเชียว่าด้วยท่าทางพึงพอใจ
“ตัดสินคนจากแง่ลบ, เหมาะสมซะจริงๆ”
“ขอบคุณ, แล้วก็นะ การที่นายมีแต่ข้อด้อย จนไม่มีอะไรดีเด่นขึ้นมาเลย ทำให้ได้คะแนนประเมินสูงเลยล่ะ”
“ขอบคุณเช่นกัน, เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำชมซึ่งอย่างไม่น่าดีใจเลยซักนิด!”
อเล็คเชียยิ้มหิหิ
“นายเป็นขยะอย่างที่เห็นได้ชัดแบบนี้ก็ดีแล้ว, เพราะงั้น ฉันถึงไม่ชอบหมอนั่นไง”
“แล้วข้อด้อยของครูเซนอนล่ะ”
“จากที่เห็น ไม่มีเลย”
“งั้นก็สมบูรณ์แบบเหรอ?”
“ไม่มีมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบหรอก, ถ้ามี คนๆนั้นก็เป็นไอ้ขี้โกหก หรือไม่ก็หัวเพี้ยนไปแล้ว”
“อ่อ, ขอบคุณสำหรับการประเมินอย่างลำเอียง ได้รับบทเรียนอย่างดีเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก, โปจิผู้เปี่ยมไปด้วยข้อด้อย, ไปหยิบซิ ~!”
อเล็คเชียเอาเหรียญทองออกมาขว้าง, ผมวิ่งไปคว้าไว้
แจ่มเป็ด, แค่นี้ก็ทำเงินได้ 100,000 เซนี่แล้ว
ผมเอาเหรียญทองเข้ากระเป๋า, กลับไปหาอเล็คเชียที่ตบมือพอใจ
“เด็กดี เด็กดี”
เธอลูบหัวผม, อดทนไว้
“อดกลั้นอีกซิ, อดกลั้นอีก ~”
โดนลูบหัวพลางล้อเลียน, เป็นอีกครั้ง ที่ทำให้ผมคิดว่ายัยนี่นิสัยเสียเป็นบ้า
“แสดงออกจากสีหน้าแล้วนะ?”
“จงใจให้เห็นเลยเนี่ย”
อเล็คเชียหัวเราะหุหุ แล้วลุกขึ้น
“อาวล่ะกลับกันเถอะ”
“คับ คับ”
“โปจิ พรุ่งนี้ ฉันจะหวดหน้าน่ารำคาญของหมอนั่นด้วยดาบไม้ให้ดูเลย, คอยดูให้ดีล่ะ”
ได้ยินอเล็คเชียว่า ผมก็ถามอย่างช่วยไม่ได้
“เอาจริงเหรอ……?”
“หมายความว่าไง?”
อเล็คเชียหันกลับมาจ้องผม
ผมไม่ควรจะถามงี้ออกไปเลย แต่ว่าไม่อาจทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้
“ครูเซนอนแข็งแกร่งกว่าเธอนะ, แต่จากที่เห็น ความแตกต่างก็ไม่ได้เยอะถึงขนาดเธอจะโดนยำอยู่ฝ่ายเดียวหรอก”
ผมชอบดาบของอเล็คเชีย, เพราะเป็นดาบที่สั่งสมความพยายามไปทีละขั้นละขั้น, แต่ในการต่อสู้จริง ยังมีสิ่งไม่จำเป็นปะปนอยู่ เลยไม่อยากเห็นดาบแบบที่ผมยอมรับมีสิ่งน่ารังเกียจปนเปื้อน
“พูดง่ายนี่ เป็นแค่ชุดขาวแท้ๆ?”
“แค่คำบ่นไร้สาระของชุดขาว, ไม่ต้องรับฟังก็ได้”
“เอาเถอะ, บอกให้ก็ได้, มันไม่ง่ายอย่างที่นายคิดหรอก”
“เห?”
“ฉันไม่มีพรสวรรค์, ถึงมีพลังเวทเยอะตั้งแต่เกิด แล้วก็คิดว่าพยายามแล้ว จนตัวเองแข็งแกร่ง, แต่แค่นั้น ไม่มีทางเอาชนะพวกอัจฉริยะได้”
“เหรอ?”
“ฉันถูกเปรียบเทียบกับท่านพี่ไอริสเสมอ, มีแต่ความคาดหวังจากผู้คน แต่ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเองก็นับถือท่านพี่ไอริสและอยากไล่ตามให้ทัน แต่ว่าไม่อาจทำได้บนเส้นทางเดียวกับท่านพี่, เราสองคนมีจุดเริ่มต้นต่างกันเกินไป เพราะฉะนั้น ฉันจึงแสวงหาเส้นทางแข็งแกร่งขึ้นของตนเอง, ผลคือ รู้มั้ยว่าคนเรียกดาบแบบฉันว่ายังไง?”
เมื่อวิถีดาบของสองพี่น้องไอริสอเล็คเชียถูกเทียบกัน, มีคำนึงที่ผุดขึ้นมาอย่างแน่นอน
“ดาบสามัญชน” 凡人の剣
“ใช่, นั่นล่ะ, อ้อ ดาบนายเองก็ดาบสามัญชนเหมือนกันนี่นะ น่าเสียดาย”
อเล็คเชียหัวเราะเยาะตัวเอง
“ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนี่, ผมของดาบของเธอนะ”
ได้ยินคำผม, อเล็คเชียหยุดหายใจไปวูบนึง แล้วดุใส่ผม
“เมื่อก่อน มีคนพูดแบบนี้กับฉัน, เป็นท่านพี่ไอริส บนสนามแข่งเทศกาลเทพสงคราม หลังจากฉันพ่ายแพ้ราบคาบ”
『ฉันชอบดาบของอเล็คเชียนะ』
อเล็คเชียบิดปาก ทำเลียนเสียงเจ้าหญิงไอริส
“คนๆนั้นไม่เข้าใจความรู้สึกของฉันหรอก, ความคับข้องของฉันในขณะนั้น, ตั้งแต่วันนั้นมา ฉันก็เกลียดดาบแบบของตัวเองเหลือเกิน”
อเล็คเชียหัวเราะ, ผมไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่เบื้องหลัง แต่ว่าไม่ใช่ความสุขแน่นอน
ผมรู้สึกเหมือนต้องพูดอะไรออกมา, หากไม่พูดตอนนี้ ก็เหมือนการปฏิเสธตัวตนของตนเอง
“ผมเองรับได้อยู่แล้ว, ถึงมีอะไรเกิดขึ้นจนคนเป็นล้านตาย ก็ไม่สน หรือถึงเธอจะบ้าคลั่งจนกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องไล่ฟันคน ผมเองก็ไม่สน...”
“ถ้าฉันเป็นบ้า, นายเนี่ยล่ะจะโดนฟันเป็นคนแรก”
“แต่ว่า มีสิ่งที่ผมไม่อาจอ่อนโอนให้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีค่าสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต, วิถีการใช้ชีวิตนี้ ก็เพื่อปกป้องสิ่งสำคัญเพียงหนึ่งเดียวของผม เพราะงั้น สิ่งที่จะบอกต่อไปนี้ มาจากใจจริงๆ.....”
แค่คำเดียว
“ผมชอบดาบแบบอเล็คเชีย”
หลังจากเงียบไปซักพัก, อเล็คเชียก็ตอบ
“คำพูดนี่มีความหมายอะไรรึไงกัน?”
“เปล่า, ถ้าจะให้พูด ก็แค่โมโหเรื่องสิ่งที่ชอบถูกปฏิเสธก็เท่านั้น”
“อ้อเหรอ”
อเล็คเชียหันกลับ ……
“วันนี้ฉันจะกลับคนเดียว”
…… แล้วก็เดินจากไป